วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

จาตุรนต์ ฉายแสง : รำลึก 10 ปี 10 เมษายน 2553 และเหตุการณ์ เมษา-พฤษภา 2553 (ตอนที่ 2)


รำลึก 10 ปี 10 เมษายน 2553 และเหตุการณ์ เมษา-พฤษภา 2553 (ตอนที่ 2)

ทุกปีที่มีการรำลึกถึง เหตุการณ์เมษา-พฤษภา 2553 ผมมักจะนึกถึงเหตุการณ์วันที่ 10 เมษา แล้วก็มองเห็นภาพสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้วราวกับว่าเพิ่งผ่านไปหยก ๆ

สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นสะท้อนความเป็นจริงหลายอย่างของประเทศนี้ เหตุการณ์วันที่ 10 เมษา 2553 ก็ดี เหตุการณ์เมษา-พฤษภา 53 ก็ดี ไม่ใช่เหตุการณ์แยกอิสระจากเรื่องอื่นๆที่จบแล้วก็จบกันไป แต่เป็นเหมือนบทตอนหนึ่งของประวัติศาสตร์การต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย ประชาธิปไตยที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ และล้มลุกคลุกคลาน ต่อเนื่องมาจนถึงการรัฐประหารในปี 2557 และการสืบทอดอำนาจของคณะผู้ยึดอำนาจ

นึกถึงเหตุการณ์ในอดีตแล้วมองมาถึงปัจจุบัน ก็จะยิ่งเห็นความจริงหลากหบายแง่มุมที่ควรค่าแก่การศึกษาหาบทเรียนสำหรับสังคมไทยที่ผมอยากจะตั้งข้อสังเกตบางประการดังนี้

1. การเคลื่อนไหวในปี 2552-2553 ที่สิ้นสุดลงในเดือนพฤษภานั้น เป็นการเคลื่อนไหวของประชาชนที่เรียกร้องให้มีการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งก็คือการพยายามแก้ปัญหาความขัดแย้งแตกต่างในเรื่องใครควรเป็นรัฐบาล ด้วยกระบวนการรัฐสภาตามวิถีทางประชาธิปไตย ไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่ต้องการใช้กำลังความรุนแรงโค่นล้มรัฐบาล

2. การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีประชาชนตื่นตัวเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก มีประชาชนที่เข้าร่วมการต่อสู้อย่างสันติด้วยความองอาจกล้าหาญแม้ต้องเผชิญกับการปราบปรามอย่างรุนแรงและโหดเหี้ยม

3. จากข้อเรียกร้องของการชุมนุมที่ให้มีการยุบสภาและเลือกตั้ง ทำให้เกิดการเชื่อมโยงพลังประชาชนบนท้องถนนเข้ากับพลังแห่งเสียงสวรรค์ของประชาชนในการเลือกตั้ง ถึงแม้ไม่สามารถทำให้เกิดการยุบสภาตามเวลาที่เรียกร้อง ต้องถูกปราบและถูกเล่นงานด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม  แต่กล่าวได้ว่าประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยก็ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งที่มีขึ้นในเวลาต่อมาคือได้เปลี่ยนจากรัฐบาลที่ตั้งในค่ายทหารมาเป็นรัฐบาลที่มาจากประชาชนและที่สำคัญคือได้เกิดการเรียนรู้ทางการเมืองครั้งใหญ่ของประชาชน

4. รัฐไทย (ในความหมายที่กว้างกว่ารัฐบาล) ได้ปฏิเสธการหาทางออกด้วยการประนีประนอม แต่ได้เลือกใช้กำลังความรุนแรงและความเหนือกว่าในการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ยุติธรรมเข้าจัดการความขัดแย้งในครั้งนี้

5. เฉพาะเหตุการณ์วันที่ 10 เมษา เพียงเหตุการณ์เดียว รัฐบาลซึ่งควรจะหาทางหลีกเลี่ยงความรุนแรงและความเสียหายได้อย่างง่ายดายกลับดำรงจุดมุ่งหมายในการยึดพื้นที่ในเวลากลางคืนทั้งที่ไม่มีความจำเป็นใดๆ จนเกิดความสูญเสียใหญ่หลวง แต่รัฐบาลก็ได้รับการโอบอุ้มจากองค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลจนสามารถอยู่ต่อไปได้โดยไม่ต้องรับผิดทั้งทางการเมืองและกฎหมาย

6. มีประชาชนและเจ้าหน้าที่ต้องเสียชีวิตเป็นจำนวนมากถึง 99 ราย บาดเจ็บอีกเป็นพันๆคน ไม่ปรากฏว่าประชาชนผู้เสียชีวิตรายใดเป็นฝ่ายใช้อาวุธ มีแต่ผลการชันสูตรศพพิสูจน์ว่ากระสุนมาจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ มีหลักฐานการจงใจสั่งให้เจ้าหน้าที่ใช้กระสุนจริง แต่ไม่สามารถหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้เลยไม่ว่าจะเป็นผู้สั่งการบงการหรือเจ้าหน้าที่ผู้กระทำผิด

7. การกล่าวหาและพยายามดำเนินคดีนายกรัฐมนตรีและผู้รับผิดชอบระดับสูงในฐานะผู้สั่งการให้ปราบประชาชนทั้งผ่านช่องทางป.ป.ช.และการฟ้องต่อศาลไม่เป็นผลทั้งสองทาง แสดงให้เห็นช่องโหว่ของระบบยุติธรรมที่เป็นปัญหาร้ายแรง
มีการร้องต่อป.ป.ช. แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์และทำรัฐประหารในเวลาต่อมา ได้เข้าแทรกแซงการแต่งตั้งและการทำหน้าที่ของป.ป.ช. ต่อมาป.ป.ช.ยุติการดำเนินคดีอดีตนายกฯและผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบจัดการกับการชุมนุม

ศาลเห็นว่าการจะเอาผิดบุคคลซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในกรณีนี้เป็นอำนาจของป.ป.ช. ผู้เสียหายจะฟ้องต่อศาลเองไม่ได้ เท่ากับว่าระบบกฎหมายของประเทศไทยไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนผู้ถูกปราบถูกฆ่าโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐในกรณีนี้สามารถฟ้องร้องให้เกิดความเป็นธรรมได้เลยเนื่องจากประชาชนผู้เสียหายไม่สามารถฟ้องร้องนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้สั่งการได้ ส่วนป.ป.ช.ก็ขาดความเป็นอิสระและเป็นกลางจากการแทรกแซงของคณะรัฐประหารไปแล้ว

จากข้อสังเกต 7 ข้อดังกล่าวคงเป็นเพียงบางส่วนของบทเรียนที่ถอดออกมาได้จากเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 2553 ผมเชื่อว่านักวิชาการและพี่น้องประชาชนที่ต่อสู้ในเหตุการณ์นี้มาและมีประสบการณ์โดยตรงมากว่าผมอีกจำนวนมากคงจะมีบทเรียนและข้อสรุปที่มีคุณค่าอีกมากมายที่จะแลกเปลี่ยนกันในการรำลึก 10 ปี เหตุการณ์ 10 เมษา ในวันนี้

เหตุการณ์เมษา-พฤษภา 2553 ยังอยู่ในความทรงจำของพวกเราทุกคน ทั้งความเจ็บปวดต่อการสูญเสียของครอบครัวผู้สูญเสียและบาดเจ็บจำนวนมากทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ และบาดแผลตราบาปที่ผู้มีอำนาจของรัฐที่ได้เลือกใช้วิธีการปราบด้วยความรุนแรงและการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม

ขณะเดียวกันเมื่อระลึกถึงเหตุการณ์อันเป็นบทตอนหนึ่งของประวัติศาสตร์ ก็มีทั้งความทรงจำประทับใจในการต่อสู้อย่างองอาจกล้าหาญของประชาชนและการตื่นตัวเรียนรู้กับการสะสมประสบการณ์ของพลังประชาธิปไตยที่ต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้

ศึกษาหาบทเรียนจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 2553 ทวงคืนความยุติธรรมที่หายไป ใช้ประสบการณ์และบทเรียนที่มีค่าให้เป็นประโยชน์ต่อการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อไปครับ