ธิดา ถาวรเศรษฐ : 10 ปี 10 เมษา - พฤษภา 2553
จากวันนั้นถึงวันนี้
10 ปีที่รอคอยความยุติธรรมสำหรับประชาชน
10 เมษายน – 19 พฤษภาคม 2553
นับเป็นช่วงเวลาที่หนักหน่วงที่สุดอีกครั้งหนึ่งในชีวิต และหนักหน่วงมาจนถึงบัดนี้
จากวันนั้นถึงวันนี้ และถ้าจะว่าไปจาก 6 ตุลา 19 มาจนบัดนี้ วันนี้ก็ยังไม่มีความยุติธรรมสำหรับประชาชน หลัง 6 ตุลา 19
ประชาชนส่วนหนึ่งได้ตอบโต้อำนาจรัฐที่กระทำอย่างรุนแรงด้วยการเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยอาวุธกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
(พคท.) จากนั้นต่างฝ่ายต่างเรียนรู้ปัญหาผิดพลาด และสมัครใจที่จะเดินหน้าพัฒนาการเมืองไทยต่อไปตามแบบอย่างอารยชน
ดิฉันก็ไม่คิดว่าจะกลับมามีการฆ่ากันอย่างโหดเหี้ยมอีก
ปี
2535 ก็มีการปราบปราม สูญเสียประชาชนไปจำนวนหนึ่ง
แต่การเมืองก็กลับมาพัฒนาไปในทางที่ดี ไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบ เมษา – พฤษภา ปี 52,
53 อีก
การต่อสู้ทางการเมืองของประชาชนตั้งแต่ปี
2516 เป็นต้นมา และหลังการต่อสู้ของพคท.
ล้วนเป็นการต่อสู้เพื่อนำประเทศไทยไปสู่การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
เป็นเสรีประชาธิปไตยเช่นอารยประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย เช่น อังกฤษ,
ญี่ปุ่น เป็นต้น
และใช้สันติวิธี
เพราะไม่ได้ต้องการล้มล้างการปกครองแบบที่มีอยู่
แต่ต้องการให้เกิดระบอบประชาธิปไตยแท้จริงที่อำนาจเป็นของประชาชน
เพียงแค่นี้ไม่จำเป็นต้องมีกองกำลังอาวุธ ไม่ต้องเผาบ้านเผาเมือง หรือล้มสถาบันใด
ๆ ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ต้องทำเช่นนั้น
กล่าวโดยสรุปคือ
1.
ฝ่ายประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยได้เปลี่ยนแปลงยกระดับมาต่อสู้แบบอารยชนในระบอบประชาธิปไตย
แต่ฝ่ายอำนาจนิยมจารีตนิยมยังไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ยอมพัฒนาตนเอง กลุ่มตน
ตามวิถีอารยชนในระบอบการเมืองการปกครองสมัยใหม่ ยังคงใช้วิธีการเดิม เป้าหมายเดิม
คือล้มล้าง ฆ่าฟัน ปราบปราม ลงโทษ
ฝ่ายที่จะมาแย่งอำนาจการเมืองการปกครองที่เคยอยู่ในมือของกลุ่มตน
ประหนึ่งยุคสมัยปลายอยุธยา
2.
จากวันโน้น วันนั้น ถึงวันนี้ เมื่อมีการลุกขึ้นต่อสู้ของประชาชนปี 2516,
2535 ที่ได้รับชัยชนะระดับหนึ่ง หรือแม้แต่การต่อสู้ของประชาชนในปี 2552,
2553 ทำให้มีการเลือกตั้ง มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
รัฐบาลที่ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งไม่อาจดำรงอยู่ได้
เกิดการทำรัฐประหารและเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ที่ล้าหลังไปอีกเรื่อย ๆ จาก 2550 ถึง 2560 ยิ่งถอยหลัง
ยึดอำนาจประชาชนไปโดยรัฐธรรมนูญใหม่หลังเกิดจากการทำรัฐประหาร
เท่ากับทำลายผลพวงการต่อสู้ของประชาชน
อาจพูดได้ว่าการต่อสู้ของประชาชนยังไม่สามารถทำลายล้างผลพวงการทำรัฐประหาร
การต่อสู้ของประชาชนยังไม่สัมฤทธิ์ผล
หรือพูดง่าย
ๆ ว่า กองทัพและชนชั้นนำจารีตนิยมยังสามารถพลิกสถานการณ์จากความเพลี่ยงพล้ำ พ่ายแพ้ทางการเมือง
กลับมามีอำนาจเหนือประชาชนทุกครั้ง กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า
ระบอบประชาธิปไตยยังไม่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้จริงในประเทศไทย
แม้จะผ่านการต่อสู้มาหลายรอบ ได้รับชัยชนะบ้างระดังในหนึ่งก็ตาม
3.
นอกจากใช้การทหารและมวลชนจัดตั้งของกลุ่มจารีตนิยมมาล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนแล้ว
กระบวนการที่สำคัญยิ่งคือการเขียนกฎหมายตามแบบที่ต้องการ
(ชนชั้นใดเขียนกฎหมายแล้วไซร้ ย่อมเป็นไปเพื่อชนชั้นนั้น) ก็มีการบังคับใช้
ตีความกฎหมายเพื่อเป็นดาบสอง จัดการฝ่ายต่อต้านการทำรัฐประหารและสืบทอดอำนาจ
ทั้งที่เป็นพรรคการเมือง นักการเมือง และขบวนการต่อสู้ของประชาชนที่เห็นต่าง
เพื่อให้ครองอำนาจได้ยาวนาน
การลงโทษด้วยกฎหมายทำให้เกิดคำถามในหมู่ประชาชนที่ถูกกระทำ
ทวงถามความยุติธรรมและหลักนิติธรรมที่ส่งเสียงเซ็งแซ่จากกรณี 6 ตุลา 19 และ เมษา พฤษภา 53
จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง มีแต่จะหนักขึ้น
เพื่อกดประชาชนให้ดูเป็นตัวอย่าง
ไม่ให้ลุกขึ้นมาต่อต้านการยึดอำนาจรัฐด้วยระบอบอื่น ก็ได้ผลแต่ละช่วงเวลา
ประชาชนต้องสาละวนต่อสู้คดี คิดคุก ติดตะราง ขาดการต่อสู้ประชาชนได้นับสิบปี
4.
การปราบปรามประชาชนด้วยการใช้อาวุธ แล้วตามด้วยการทำรัฐประหาร
จากวันก่อน ๆ จนถึง 27 พฤษภาคม 2557
และอาจมีอีกข้างหน้า ก็ยังเหมือนเดิม
เป็นวิธีที่ได้ผลที่สุดในการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและมีประชาชนสนับสนุน
จากนั้นก็นิรโทษกรรมตนเอง ได้รับการยอมรับจากกระบวนการยุติธรรมที่ถือว่าผู้ยึดอำนาจรัฐได้เป็นรัฏฐาธิปัตย์
ออกกฎหมายอะไรก็ได้ นี่คือวงจรอุบาทว์ประเทศไทยที่ยังเหมือนเดิม
ยอมรับการนิรโทษกรรมจากการทำรัฐประหารและปราบปรามประชาชน
จึงไม่มีการเอาผิดผู้ปราบปราม เข่นฆ่าประชาชน
มาตลอดเวลาที่มีการทำเช่นนี้หลายสิบปีแล้ว ยังใช้กระบวนการเช่นนี้
5.
ฝ่ายอำนาจนิยม จารีตนิยม ใช้อำนาจอื่น ๆ ทางเศรษฐกิจ สังคม
มาสร้างความชอบธรรมให้คณะรัฐประหารอยู่ในอำนาจได้ยาวนาน
การเอื้อประโยชน์นายทุนใหญ่และนายทุนที่สวามิภักดิ์อำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน
การใช้สื่อปฏิบัติการจิตวิทยา การจัดตั้งมวลชนอนุรักษ์นิยม ครอบงำการศึกษา
โครงสร้างข้าราชการ ทหาร พลเรือน ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
ให้สวามิภักดิ์อำนาจจากคณะรัฐประหาร บิดเบือนความจริง
สร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชน
กรณี
10 เมษา – พฤษภา 53 สร้างวาทกรรมชายชุดดำ
กองกำลังอาวุธ พวกล้มเจ้า พวกเผาบ้านเผาเมือง เพื่อให้ประชาชนแบ่งแยกกัน
เกลียดชังกัน และดูชอบธรรมสำหรับการใช้อำนาจปรามปรามเข่นฆ่าประชาชน
นี่เป็นกระบวนการยอดเยี่ยมในการทำลายอำนาจประชาชนด้วยการแบ่งแยกประชาชน
ให้ประชาชนส่วนหนึ่งสนับสนุนฝ่ายจารีตนิยม อำนาจนิยม
เข่นฆ่าทำลายประชาชนฝ่ายก้าวหน้าที่ลุกขึ้นมาเพื่อเรียกร้องระบอบประชาธิปไตยและทวงความยุติธรรม
สุดท้ายคือ
6.
ฝ่ายสนับสนุนจารีตนิยม อำนาจนิยม
มีพลังเพราะชนชั้นกลางและปัญญาชนจำนวนมากไปสนับสนุน ชูธงจารีตนิยม
และสนับสนุนการทำรัฐประหาร
เพราะตนเองเป็นปฏิปักษ์กับนักการเมืองผู้ชนะเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย หรือถูกลดบทบาทไป
ข้อนี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำลายการต่อสู้ของประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยตั้งแต่ปี 2550 มาจนบัดนี้ ทำให้การต่อสู้ของประชาชนไม่เข้มแข็งอย่างที่ควรจะเป็น
กลุ่มคนเหล่านี้ได้ประโยชน์จากรัฐบาลเผด็จการยิ่งกว่ารัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย
ทำให้การล้มตายของประชาชนในปี 2553
ไม่ได้รับการใส่ใจจากชนชั้นกลางและเวทีโลก ดัง 6 ตุลา 2519
วีรชนผู้เสียชีวิตถูกประณามว่าตายเพื่อนายทุนสามานย์
การต่อสู้ของประชาชนถูกขนานนามว่าเป็นสมุนนายทุนสามานย์
ยังดีที่บัดนี้คนจำนวนหนึ่งเข้าใจมากขึ้น
รวมทั้งคนรุ่นใหม่ปัจจุบัน แต่ปัญญาชนรุ่นเก่า
ชนชั้นกลางจำนวนมากก็ยังหนุนระบอบเผด็จการอยู่
นี่ก็เป็นประวัติศาสตร์ที่แต่ละคนเลือกว่าตนเองจะอยู่กับประชาชนหรืออยู่กับการปล้นอำนาจประชาชน
เราขอเทิดทูนจิตใจและคารวะดวงวิญญาณของวีรชนทุกท่านที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความยุติธรรม
นับจากวีรชนเดือนตุลา พฤษภา 35 วีรชนเมษา – พฤษภา 52, 53 กว่า 40
ปีที่รอคอยความยุติธรรมและยังไม่มีประชาธิปไตย
ธิดา
ถาวรเศรษฐ
10 เมษายน 2563
#10ปี10เมษา