วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2563

ธิดา ถาวรเศรษฐ : รัฐบาลล้าหลัง!!! ที่ไม่สอดคล้องกับปัญหาโลกาภิวัตน์

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2563

แกนนำนปช.ช่วยบริจาคเงินให้กับครอบครัวเหยื่อคดีเผาศาลากลางเก่าอุบลราชธานี

คุณพัชรี ลาเสือ ภรรยาคุณสมศักดิ์ ประสานทรัพย์  (ขอบคุณภาพจาก Redfam Fund)

ยูดีดีนิวส์ : 19 ม.ค. 63  อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตประธาน นปช. และ นพ.เหวง โตจิราการ ได้บริจาคเงินจำนวน 10,000 บาท เพื่อช่วยเหลืองานศพของคุณพัชรี ลาเสือ ภรรยาของคุณสมศักดิ์ ประสานทรัพย์ อดีตนักโทษคดีศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานีเมื่อ 2553 โดยคุณสมศักดิ์ ประสานทรัพย์ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุกในคดีศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานีเป็นระยะเวลาถึง 33 ปี 12 เดือน โดยที่คดีดังกล่าวยังมีจุดที่ยังเป็นข้อสงสัยอยู่อีกหลายจุด ทำให้คุณพัชรี ลาเสือ ต้องกลายเป็นผู้รับภาระดูแลครอบครัวแทน ต่อมาคุณสมศักดิ์ป่วยเป็นอัมพฤกษ์จึงได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวอย่างมีเงื่อนไขจากคสช. แต่ครอบครัวต้องเผชิญกับวิกฤตทั้งทางการเงินและภาวะน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2562 ต่อมาคุณพัชรี ลาเสือก็เจ็บป่วยด้วยภาวะเบาหวาน ไทรอยด์ และปอดติดเชื้อ จนเสียชีวิตที่ห้องผู้ป่วยวิกฤติ (ไอซียู) โรงพยาบาลวารินชำราบเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2562


 สำหรับผู้ที่ต้องการร่วมบริจาคช่วยเหลือครอบครัวของคุณสมศักดิ์ ประสานทรัพย์ และพัชรี ลาเสือ สามารถบริจาคได้ที่

ชื่อบัญชี นายสมศักดิ์ ประสานทรัพย์
ธนาคารออมสิน  สาขาถนนยุทธภัณฑ์ จังหวัดอุบลราชธานี
เลขที่บัญชี 020259242772


นอกจากนี้ในเฟสบุ๊คแฟนเพจ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้โพสต์แสดงความเสียใจต่อครอบครัวคุณสมศักดิ์ความว่า

“เราไม่มีโอกาสไปร่วมงานฌาปนกิจของคุณพัชรีภรรยาคุณสมศักดิจึงส่งเงินไปโดยตรงให้กับคุณสมศักดิ์ ในข่าวยูดีดีนิวส์ได้แจ้งหมายเลขบัญชีคุณสมศักดิ์ไว้แล้วค่ะ ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวคุณสมศักดิ์มา ณ ที่นี้แทนความรู้สึกของพี่น้องเราด้วย”

วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2563

ธิดา ถาวรเศรษฐ : แพทย์ผู้นำมวลชนจารีตนิยม "กองเชียร์ลุง"

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2563

ประชาชนร่วม #วิ่งไล่ลุง แน่นสวนรถไฟ


ยูดีดีนิวส์ : 12 ม.ค. 63 กิจกรรม #วิ่งไล่ลุง เริ่มขึ้นแต่เช้ามืด ประชาชนผู้ลงทะเบียนจำนวนมากทยอยเข้าร่วมงานที่สวนวชิรเบญจทัศ หรือ ที่รู้จักกันในนาม "สวนรถไฟ"  ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด มีเจ้าหน้าที่ตรวจ-ยึดป้ายข้อความบางส่วนด้วย "ธนาธร" ร่วมวิ่งและขอให้ประชาชนไม่กลัวการใช้สิทธิเสรีภาพเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างสันติ

ผู้สื่อข่าวยูดีดีนิวส์รายงานว่าเจ้าหน้าที่เปิดประตูสวนรถไฟ สถานที่จัดกิจกรรม #วิ่งไล่ลุง ให้เข้าทำกิจกรรมในเวลา 05.00 น. จากนั้นผู้จัดงานและประชาชนก็ทยอยเดินทางเข้าโดยผ่านประตูซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำมาเพื่อตรวจอาวุธอย่างเข้มงวด 

กิจกรรม #วิ่งไล่ลุง นอกจากในกรุงเทพฯ จะมีการจัดงานที่สวนรถไฟแล้ว ที่ต่างจังหวัด อาทิ เชียงใหม่, อุบลราชธานี, กาฬสินธุ์, พัทลุง, พิษณุโลก, นครปฐม ชลบุรี นครศรีธรรมราช สมุทรสาคร มหาสารคาม, ปัตตานี, ตาก นครพนม, นนทบุรี, ฉะเชิงเทรา, ร้อยเอ็ด, บุรีรัมย์, มุกดาหาร, พิจิตร, สมุทรปราการ, ปทุมธานี, พังงา, กระบี่ เป็นต้น ก็ได้มีการรวมตัวกันของประชาชนจัดกิจกรรมคู่ขนานกันไปกับทางกรุงเทพฯ โดยชื่องานอาจจะมีการเปลี่ยนไปตามภาษาท้องถิ่น และเป็นที่สังเกตว่าในต่างจังหวัดจัดกิจกรรมนี้ด้วยความยากลำบากไม่แพ้ที่กรุงเทพฯ เพราะเจ้าหน้าที่เข้มงวดเป็นอย่างมาก มีการห้ามใส่เสื้อที่สกรีนคำว่า วิ่งไล่ลุง โดยจัดสถานที่ไว้ให้เปลี่ยนเสื้อ 


เวลาประมาณ 06.35 น. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้เดินทางมาถึงและให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า การมาวันนี้ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ ตนและพรรคอนาคตใหม่ขอเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับประชาชนที่ต้องการเห็นประเทศก้าวหน้าและเปลี่ยนแปลง และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่หยุดข่มขู่คุกคาม และขอให้ประชาชนไม่กลัวการใช้สิทธิ เสรีภาพ เรียกร้องประชาธิปไตยอย่างสันติ

คลิปสัมภาษณ์ "ธนาธร"

วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2563

ธิดา ถาวรเศรษฐ : ความบ้าคลั่ง!!! ของจารีตนิยมที่ยังเหมือนเดิม

วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2563

ธิดา ถาวรเศรษฐ : "โง่และขี้เกียจ" ยังไม่ค่อยกระทบกระเทือนองค์กรเท่า "โง่แล้วขยัน"


ยูดีดีนิวส์ : 10 ม.ค. 63 บทความล่าสุดของ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ในเฟสบุ๊คแฟนเพจได้ได้กล่าวถึงการภาษิตหรือข้อความ "โง่แล้วขยัน" ความว่า

ภาษิตหรือข้อความ “โง่แล้วขยัน” ที่ได้กล่าวไว้สำหรับประเมินคนทำงานในบริษัทหรือองค์กรใดก็ตามว่า มีคนอยู่ 4 แบบ

แบบที่ 1 ฉลาดและขยัน คนอย่างนี้ต้องเอาไว้องค์กรจะเจริญ ยกเว้นเจ้าของบริษัทหรือองค์กรโง่กว่า ก็จะไม่เอาไว้ใช้ เพราะทำให้หัวหน้าดูโง่ โดยทั่วไปคนแบบนี้จะอยู่รับราชการประเทศไทยไม่ได้ (ทั้งเจ้านายและลูกน้องจะหาเรื่องให้กระเด็น)

แบบที่ 2 ฉลาดแต่ขี้เกียจ เหมาะเป็นกุนซือ เป็นที่ปรึกษา ไม่เหมาะเป็นผู้ปฏิบัติงาน

แบบที่ 3 โง่และขี้เกียจ เหมือนคนรกองค์กรและเห็นเป็นหัวคนเดินไปมาเท่านั้น บริษัท ห้าง ร้าน และองค์กรทันสมัยก็จะไม่เอาไว้ แต่องค์กรข้าราชการก็จะเห็นคนแบบนี้ได้ทั่วไป

แบบที่ 4 โง่แล้วขยัน แบบนี้อันตรายต่อบริษัท ห้าง ร้าน และองค์กร สุด ๆ เอาไว้ไม่ได้เลย แต่ถ้าเจ้านายบริษัทใด องค์กรใดเป็นแบบนี้เสียเอง บริษัทนั้น องค์กรนั้นก็พังแน่นอน เพราะโง่และขี้เกียจ ยังไม่ค่อยกระทบกระเทือนองค์กรเท่า โง่แล้วขยัน

ปัญหาคือ เราจะประเมินรัฐบาลทหารที่ลากมาจาก คสช. ถึงบัดนี้ว่าอยู่ในกลุ่มใด จะเป็นแบบที่ 3, แบบที่ 4 ได้หรือไม่ ?  แรงไปไหม ????

ถามว่าทำไมต้องประเมินถึงขั้น “โง่แล้วขยัน” (แบบที่ 4) ก็เพราะท่านพูดของท่านเองทั้งนั้น ยกตัวอย่างใหม่ ๆ ดังเช่น 

ท่านนายกฯ กล่าวว่า นั่งเขียนหนังสือ นั่งคิดทุกวัน แม้เสาร์-อาทิตย์ แล้วเสียเวลาพูด จนสมองหายไปครึ่งหนึ่ง (น่าจะจริง!!!) เลยแนะนำให้แก้ความเค็มของน้ำประปาโดยการเอาไปต้ม 

ด้านโฆษกรัฐบาลซึ่งเป็นถึงศาสตราจารย์ (ไม่ทราบด้านไหน) สมองอาจหายไปส่วนหนึ่ง (น้อยกว่านายกฯ) แนะนำให้ลดเครื่องปรุงลงในการทำกับข้าว! 

ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศ (ขออภัยจริง ๆ ) อาจทำงานหนักจนสมองหายไปมากกว่าครึ่ง ที่ออกมาให้สัมภาษณ์เองเรื่องสหรัฐอเมริกาส่งข่าวก่อนใช้โดรนเป็นอาวุธจัดการนายพลใหญ่ของอิหร่าน สงสัยจะใช้ระบบประสาทส่วนไขสันหลังทำงานอัตโนมัติ ไม่ได้ใช้สมอง

พอ ๆ กับเสืออากาศ 24/7 ที่พูดเหยียดชาติพันธุ์ม้ง กระทบไปถึง ธนาธรแห่งอนาคตใหม่ ที่ดูเหมือนจะเห็นใจม้งเป็นพิเศษ

ท่านนายพลอื่น ๆ ก็ขยันขันแข็ง ออกมาให้สัมภาษณ์ภูมิรู้และทัศนะทางการเมืองและการแก้ปัญหาประเทศชาติ ปัญหาความสามัคคี และโอ้อวดภูมิรู้ หลายเรื่องอาจจริง แต่ไม่ควรพูด เช่น พล.อ.ประวิตร เรื่องเรือล่มที่ภูเก็ต บางเรื่องพูดออกมาคนก็รู้ว่า “สมองหายไป”

ท่านนายพลและรัฐบาลทหารปัจจุบันนี้อาจคิดว่าตนเองเก่ง, ดี, ฉลาดและมีอำนาจอยู่ในมือ จึงประมาท จะพูดอะไรก็ได้โดยไม่ต้องใช้สมองคิด ไม่ต้องมีข้อมูล ไม่ต้องมีองค์ความรู้ในเรื่องที่จะพูดจะทำนั้น ๆ ยังไง ๆ ประชาชนและลูกน้องก็เป็นของตาย ต้องเชื่อและปฏิบัติตามอยู่แล้ว

เฉพาะหน้านี้ รัฐมนตรีต่างประเทศคงถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด (ไม่มีทางที่ใครในแผ่นดินนี้และในโลกจะเห็นว่าท่านทำถูกได้)

ก็ขึ้นอยู่กับว่านายเป็นคนประเภทใดจึงจะจัดการหรือไม่จัดการ ถ้าเป็นคนประเภทเดียวกันก็โอเค อยู่กันอย่างนี้แหละ

แล้วนายตัวจริงล่ะ คือ ประชาชนไทยจะกล้าทำอะไรไหม ???

ธิดา ถาวรเศรษฐ
10 ม.ค. 62  

วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2563

ธิดา ถาวรเศรษฐ : ปัญหาความมั่นคงกับองค์ความรู้ของรัฐบาลทหาร!!!

วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2563

'ธิดา' รับไม่ได้กับการเขียนถึง 'ม้ง' แบบ 'เสืออากาศ 24/7'


ยูดีดีนิวส์ : 3 ม.ค. 63 "ต้อนรับปีใหม่ 2563 ด้วยระเบิดหลายลูกจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม อำนาจนิยม คลั่งชาติ ที่เหยียดเพศ เหยียดชาติพันธุ์ และเชียร์อำนาจนิยมให้มีรัฐประหารต่อเนื่อง" เป็นหัวข้อบทความของ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ซึ่งได้โพสต์ลงใน เฟสบุ๊คแฟนเพจ ความว่า

ต้อนรับปีใหม่ 2563 ด้วยระเบิดหลายลูกจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม อำนาจนิยม คลั่งชาติ ที่เหยียดเพศ เหยียดชาติพันธุ์ และเชียร์อำนาจนิยมให้มีรัฐประหารต่อเนื่อง

เอาเรื่องอะไรก่อนดี???

เอา “เสืออากาศ 24/7” ก่อนไหม?

ดูคล้ายกับว่ามีคำเฉลยแล้วาเป็นใคร จากผู้แพร่ข่าวคือ คุณวาสนา นาน่วม นั่นเอง ลองไปอ่านดูดี ๆ ถ้าไม่สำคัญคงไม่เรียกว่า “เสืออากาศ” หรอก!!!

กรณีเรื่องของ “ม้ง” นี้ ไม่ว่าจะมองในแง่ชาติพันธุ์ที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง หรือมองในแง่ความมั่นคง มองแบบไหน ๆ และยอมรับความแตกต่างทางความคิดแล้วก็ตาม มองยังไงก็รับไม่ได้กับการเขียนถึงคนม้งแบบเสืออากาศ 24/7 เพราะท่านต้องการให้เขาเปลี่ยนจาก “ม้ง” มาเป็นแบบไทย ๆ แบบมอญ แบบจีนที่เป็นแบบไทย ๆ

ดิฉันไม่เข้าใจว่าท่านคิดแบบนี้ได้อย่างไร?  ท่านจะให้มีมนุษย์พันธุ์เดียว แบบเดียว คิดแบบเดียว มีวัฒนธรรมอย่างเดียวกัน ดูคล้าย “ฮิตเลอร์” ที่เน้นชาติพันธุ์เยอรมันบริสุทธิ์ เกลียดยิว เกลียดสลาฟ แล้วตั้งคำถามว่าสมควรหรือไม่ที่จะให้ “ม้ง” มีสิทธิครอบครองที่ดินบนแผ่นดินไทย

เป็นอะไรไปแล้วคะท่าน?  ประเทศนี้เดิมชื่อ “สยาม” มีคนหลายชนชาติ หลายชาติพันธุ์ ประมาณ 45-50 ชาติพันธุ์ อยู่ในพื้นที่ที่เป็นประเทศไทยปัจจุบัน ภาคเหนือนั้นอยู่กับโครงการหลวง เชียงใหม่, เชียงราย เป็นจำนวนมาก มี ม้ง, ปกาเกอะญอ หรือ กะเหรี่ยง ที่สำคัญมีกะเหรี่ยง จาม, ไทลื้อ, ไทใหญ่, ม้ง, มลายู, มอญ

กลุ่มชาติพันธุ์เป็นกลุ่มชนที่มีความสืบเนื่องทางประวัติศาสตร์กับสังคมไทยมาตั้งแต่อดีตมากกว่าร้อยปี มีความแตกต่างจากลุ่มชนอื่น ๆ และมีวัฒนธรรมประเพณีของตนเอง โดยอาศัยตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆใน 67 จังหวัด จํานวน 56 กลุ่ม มีประชากรรวมประมาณ 6,100,000 คน หรือร้อยละ 9.68 ของ
ประชากรประเทศ

กลุ่มชนเผ่าม้ง

กลุ่มชนบนพื้นที่สูงมีมากกว่า 1.2 ล้านคน มี 13 กลุ่ม ได้แก่กะเหรี่ยง ม้ง(แม้ว), เย้า(เมี่ยน), ลีซู(ลีซอ), ลาหู่(มูเซอ), อาข่า(อีก้อ), ลั๊วะ, ถิ่น, ขมุจีนฮ่อ, ตองซู, คะฉิ่น และปะหล่อง(ดาลาอั้ง) ได้สัญชาติไทยไปแล้วหลายแสนคน

ข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ราบ มีมากถึง 38 กลุ่ม ได้แก่ มอญ, ไทยลื้อ, ไทยทรงดํา, ไทยใหญ่, ไทยเขิน, ไทยยอง, ไทยหญ่า, ไทยยวน, ภูไท, ลาวครั่ง, ลาวแง้ว, ลาวกา, ลาวตี้, ลาวเวียง, แสก, เซเร, ปรัง, บรู(โซ่), โซ่ง, โซ, ทะวิง, อึมปี, ก๋อง, กุลา, ซอุโอจ(ชุอุ้ง), กูย(ส่วย), ญัฮกรู(ชาวบน), ญ้อ โย้ย, เขมรถิ่นไทย,  เวียดนาม(ญวน), เญอ, หมี่ซอ(บีซู) ชอง กระชอง กะเลิง และลาวโซ่ง(ไทยดํา) และที่สำคัญคือ มลายู ยังมีชาติพันธุ์ในป่า เช่น ซาไก, ผีตองเหลือง และชาวเลอีก

ถ้าติดตามข้อมูลในประเด็นความมั่นคง ในการพัฒนากลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานความช่วยเหลือในการสงเคราะอาชีพห์และพัฒนาในด้านการศึกษาตั้งแต่ปี 2506 เป็นต้นมา ในปี 2512 มีพระราชดําริให้จัดตั้ง “โครงการหลวง” ขึ้น และได้มีมติครม. เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 32 และวันที่ 11 ก.พ. 35 เรื่อง นโยบายแก้ไขความมั่นคงของชาติเกี่ยวกับชาวเขาและการปลูกพืชเสพติด มุ่งเน้นในการจัดตั้งถิ่นฐานถาวร การสํารวจสถานะบุคคล การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาส การอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหายาเสพติด ท่านเสืออากาศ 24/7 ไปอยู่ที่ไหน ถึงไม่รู้เรื่องเหล่านี้ นอกจากนั้นประเทศสยามเพิ่งเปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทยไม่นานมานี้ ในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม เพราะท่านอยากแอบอ้างเอาคนไทยที่พูดไทยในประเทศอื่น ๆ มาแสดงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรไทย เลยลบชื่อ “สยาม” ทิ้งไป


ดิฉันเคยทำงานวิจัยเรื่อง “พฤติกรรมของประชาชนไทยในการรักษาตนเอง” โดยเริ่มต้นที่ในภาคกลางของประเทศ หวังว่าจะให้เป็นตัวแทนของคนไทยที่ไม่ใช่ชาติพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งอาจมีพฤติกรรมในการรักษาตนเองแตกต่างไป

แต่เชื่อไหมว่าแต่ละหมู่บ้านที่ไปเก็บข้อมูลสัมภาษณ์ ซึ่งดิฉันเก็บข้อมูลของหมู่บ้านนั้น ๆ มาด้วย พบว่า “ไม่ใช่คนไทย” รุ่นปู่ ย่า ตา ยาย หรือ พ่อ แม่ อพยพมาจากที่อื่นทั้งสิ้น และมีชาติพันธุ์ต่างกัน

“ไม่มีคนไทยจริงในประเทศไทย”
“มีแต่กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ รวมอยู่ในประเทศสยาม”

ซึ่งเปลี่ยนนามเป็นคนไทย เพราะเชื่อว่าเผ่าไทเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ แล้วด้วยระบบไพร่ที่ช่วงใดมีพระมหากษัตริย์เป็นนักรบที่เก่งกล้า ก็จะไปรบกับประเทศใกล้เคียง เป็นเมืองขึ้น แล้วกวาดต้อนผู้คนมาอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งในภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคเหนือตอนล่าง ภาคใต้ตอนบน ดิฉันไปหาข้อมูลประชาชนที่ไหนก็มีแต่ชาติพันธุ์อื่น เช่น ไปเพชรบุรี, ราชบุรี, สุพรรณบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, พระนครศรีอยุธยา, ฉะเชิงเทรา ฯลฯ เป็นต้น ในกรุงเทพฯ จริง ๆ ก็จะมีคนที่อพยพหนีสงครามและถูกกวาดต้อนมาเป็นชาติพันธุ์ต่าง ๆ มากมาย ถ้าเป็นมุสลิมก็มีหลายกลุ่ม หลายรุ่น สุเหร่าจึงกระจายเต็มไปหมด

คุณเสืออากาศไม่รู้สึกภูมิใจที่ประเทศเรามีคนหลายชาติพันธุ์หรือ?

คุณจะให้เป็นคนไทยบล็อกเดียว พิมพ์เดียวกันหมดหรือ? ศึกษาประวัติศาสตร์และชาติพันธ์ในประเทศต่าง ๆ บ้างไหมเล่า?

คนม้งมีทั้งอยู่กับ พคท. และอยู่กับฝ่ายความมั่นคงประเทศไทยที่รบกับ พคท. ก็เห็นเขาเป็นผู้บัญชาการรบที่เก่งจนกองทัพไทยต้องเอาจีนฮ่อมารบแทนทหารไทย บ้างก็เป็นหมอใหญ่ผ่าตัดได้  แล้วเขาโง่ตรงไหน?

บางกลุ่ม บรรพบุรุษเขาอยู่ในประเทศนี้มาก่อนบรรพบุรุษของคนไทยจำนวนมาก หรืออาจรวมถึงคุณด้วย ทำไมเป็นคนจีนรวย ๆ ถึงน่ารัก เช่น ตระกูลดังหลายตระกูล ร่ำรวย และสนับสนุนชนชั้นนำ อำนาจนิยม จารีตนิยม ไม่เข้ามาทำงานการเมือง อย่างนี้น่ารักใช่ไหม? ถือเป็นคนไทยแท้ แต่ชาติพันธุ์ชายขอบกลับเหยียดหยามวัฒนธรรมเขา ไม่ถือว่าเป็นคนไทย

ถ้าคนไทยที่สิบสองปันนาถูกบังคับให้เปลี่ยนวัฒนธรรมไทย คุณรู้สึกอย่างไร? จริง ๆ ชนชาติหลักก็จะค่อย ๆ กลืนไปอยู่แล้ว แต่ชาวม้งตามเขาตามดอย การติดต่อคมนาคมยากหน่อย ทำให้ยังรักษาเอกลักษณ์วัฒนธรรมของเขาอยู่ได้

ดิฉันว่าบรรดาขุนศึกทั้งหลายจะแสดงความคิดเห็นนั้นต้องระวัดระวังสักหน่อย เพราะเนื้อหามันบ่งบอกถึงจิตใจที่คับแคบ ลัทธิเหยียบชาติพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชาติส่วนน้อยและไม่ถือว่าเขาเป็นคนไทย ใครที่พยายามช่วยเหลือคนด้อยโอกาส กลุ่มชาติพันธุ์ ก็กลายเป็นพวกไม่รักชาติหรือหาเสียง (ถ้าไม่ใช่คนสัญชาติไทย จะหาเสียงไปทำไมเพราะเลือกตั้งไม่ได้) นี่ก็ตลก ขัดแย้งกันเองในเชิงตรรกะที่คนต้องคิดว่า คนเหล่านั้นที่เรียกว่า “ม้ง” เป็นคนสัญชาติไทย เป็นคนไทยหรือไม่? ที่มีชาติพันธุ์เป็นม้ง เหมือนชาติพันธุ์จีน, ชาติพันธุ์อินเดีย, มอญ, ญวณ, มาเลย์, ลาว, เขมร, ส่วย ฯลฯ

บ้างก็อพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร เช่น มอญ, ม้ง บ้างก็ถูกกวาดต้อนมาเป็นไพร่บ้านไพร่เมือง อยู่มาจนได้รับสัญชาติไทย แต่ก็มีพวกตกหล่นตามชายขอบอยู่บ้าง เสืออากาศ 24/7 คิดได้อย่างไร แบบที่เขียนมานั่นน่ะ ถ้าเขาได้สัญชาติไทยก็ถูกเกณฑ์ทหารเหมือนกัน (ตามหลักการ) และที่เอาเขาสู้กับคอมมิวนิสต์ ลาว พคท. ก็มีมากต่อมาก คิดได้ยังไงแบบที่พูดมาน่ะ สายตาสั้น, จิตใจคับแคบ, เหยียดมนุษย์ชาติพันธุ์อื่น คิดว่าคนไทยเป็นชนชาติใหญ่ เป็นเลิศกว่าใครงั้นหรือ นี่แหละคือตัวอย่างจริงของพวกจารีตนิยม อำนาจนิยม ลัทธิคลั่งชาติใหญ่สุดโต่ง

วัฒนธรรมของไทยและลัทธิชาตินิยมในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม

ความจริงทหารที่เป็นชาตินิยมจัดคือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ถึงกับเปลี่ยนชื่อประเทศสยาม เป็น ประเทศไทย ตั้งกระทรวงวัฒนธรรม และให้มีละครลัทธิรักชาติไทยแสดงเยอะแยะ แต่นี่ก็จะเอารูปปั้นท่าน และรูปปั้น พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ย้ายออกไปไว้ที่ไหน? เผอิญ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นตัวอย่างลัทธิชาตินิยม แต่ไม่เป็นจารีตนิยมเหมือนพวกท่าน ใช่หรือไม่?

ธิดา ถาวรเศรษฐ
3 ม.ค. 63