ยูดีดีนิวส์ : 24 เม.ย. 62 อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ กล่าวในการทำ Facebook Live วันนี้ว่า ขณะนี้ข่าวทางการเมืองเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องแสดงความคิดเห็น เพราะ พรรคอนาคตใหม่เป็นตัวละครสำคัญซึ่งฝ่ายอนุรักษ์นิยมอำนาจนิยมไม่ได้คาดคิดมาก่อน
สิ่งที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมอำนาจนิยมได้ตระเตรียมไว้ก็คือ การจัดการและทำลายล้างพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องกับทุนสามานย์ แต่ว่าอยู่ ๆ ก็เกิดปรากฎการณ์พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นผลผลิตในสิ่งที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมทั้งพลเรือนและทหารไม่ได้คาดคิดมาก่อน
ดังนั้นอาวุธที่ต้องการจัดการกับพรรคสายกลุ่มของเพื่อไทย ไทยรักไทย ก็กลายมาเป็นอาวุธที่จัดการตัวเอง หรือกลายเป็นประโยชน์กับฝ่ายพรรคเพื่อไทย และดูเป็นอาวุธที่มีพลานุภาพ เข้มแข็ง นั่นก็คือ ความแน่วแน่ของพรรคอนาคตใหม่ในการต่อต้านการสืบทอดอำนาจ
การที่พรรคการเมืองไปตกลงกัน 6 พรรค (ไม่แน่ใจว่า 6 พรรค) ตรงนั้นดูประหนึ่งว่าเป็นการตั้งรัฐบาล แต่ในทัศนะดิฉันมองจากฝ่ายประชาธิปไตย มันเป็นการตกลงกันว่าจะจับมือกันเพื่อต่อต้านการสืบทอดอำนาจ
พรรคอนาคตใหม่ที่เกิดขึ้นมันกลายเป็นหน่วยหัวแหลม เป็นกองหน้าของพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยที่มีพลัง ไม่ว่าจะคำนึงถึงป็อปพูล่าโหวต 6 ล้านกว่าเสียง ไม่ว่าจะคำนึงถึงที่นั่ง ซึ่งคำนวณให้ถูกแล้วมันต้องได้อย่างต่ำ 87 ที่นั่ง
คือคะแนนที่พึงมี 88 ที่นั่ง แต่จากที่มันเกินมา 2 ที่ พรรคอนาคตใหม่ก็อาจต้องถูกตัดไปตามหลักการ แต่ดิฉันยังไม่รู้ว่าศาลรธน.จะบอกอย่างไร และก็ไม่รู้ว่ากกต.จะจัดการอย่างไร
ดังนั้นก็ช่วยไม่ได้ที่คนจะมองว่าการคิดส.ส.บัญชีรายชื่อตามแบบของกกต. ตามแบบของกรธ. อาจจะเป็นวิธีการหนึ่งในการจัดการของซีกพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย โดยเฉพาะทำให้เสียงของพรรคอนาคตใหม่หายไป 8 เสียง ซึ่งแทนที่จะหายไปเพียง 1 เสียง
นั่นก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะสกัดกั้นความร้อนแรงในด้านจำนวนที่นั่ง สกัดความเหนียวแน่นของพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยเพื่อให้ตัวเลขไม่ถึง 250 เพราะถ้าพรรคอนาคตใหม่ได้ที่นั่ง 87 ที่นั่ง นั่นหมายความว่าซักฝ่ายประชาธิปไตยรวมกันแล้วเกิน 250 แน่ ๆ ดังนั้นมีปัญหาแน่ในการฟอร์มรัฐบาล
เมื่อพรรคเศรษฐกิจใหม่ปฏิเสธ, เมื่อพรรคเสรีรวมไทยปฏิเสธ
ดังนั้นจากยุทธศาสตร์ที่จะต้องจัดการกับพรรคที่เกี่ยวข้องกับทุนสามานย์ซึ่งเตรียมเอาไว้ถึง 20 ปี แม้คุณธนาธรไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณทักษิณ แต่คุณธนาธรก็ต้องมาปรากฎตัวในยุทธศาสตร์ที่จะต้องถูกจัดการไปด้วย...หรือเปล่า? ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะตั้งข้อสงสัย
นอกจากวิธีการคำนวณทำให้หายไป 7-8 ที่นั่ง ทำให้การฟอร์มรัฐบาลของฝ่ายประชาธิปไตยเป็นไปไม่ได้แล้ว อีกเรื่องหนึ่งกำลังฮิตมากในขณะนี้ก็คือ การจัดการกับ 2 ผู้นำ คุณธนาธรกับคุณปิยบุตร แน่นอนว่าต่างคดี คุณปิยบุตรนั้นโดนในแง่ที่ว่าออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยในกรณีที่พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบและเจอข้อหาหมิ่นศาล-ม.116
คุณปิยบุตรบอกว่าไม่รู้สึกกังวลในฐานะเป็นนักกฎหมาย, เป็นอาจารย์เพราะเชื่อว่าไม่ได้หมิ่นศาล แต่เป็นการอธิบายแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างมีวุฒิภาวะ อย่างผู้มีความรู้ และถือว่าเป็นสิทธิที่มีความเห็นต่าง นี่เป็นหนึ่งประเด็น
มาถึงประเด็นคุณธนาธรซึ่งเรารู้กันแล้วว่าเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการถือหุ้นแล้วเอาหุ้นออกจากตัวก่อนหรือหลังท่าสมัครเลือกตั้ง แต่ความเป็นจริงทุกคนก็รู้ว่าหุ้นสื่อที่คุณธนาธรไปถือเอาไว้ มันเป็นสื่อวารสารซึ่งไม่มีบทบาทอะไรในสังคม และดูเหมือนว่าจะหยุดกิจการไปแล้ว
โดยทั่วไปคนที่ทำธุรกิจก็จะรู้ จะมีการตั้งบริษัทเอาไว้มาก คล้าย ๆ การเปิดประตูว่าเผื่อจะไปทำ ถ้าไม่ทำธุรกิจนั้นก็ปล่อยให้มันแห้งและมายกเลิกภายหลัง บางครั้งกิจการที่ไม่ได้มีการสนใจจริงจัง บางครั้งก็ถูกลืม
แต่ตรงนี้ทั้งคุณธนาธร, คุณปิยบุตรและทนายก็ได้พูดชัดเจนว่าได้โอนไปแล้วตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. ปัญหาก็คือหลายคนตีปีกเพราะว่ามันไปส่งถึงหน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์หลังจากวันที่สมัคร แต่บริษัทนี้ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กติกาของมันก็คือคุณจะไปแจ้งเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นหรืออะไรก็ต่อเมื่อถึงกำหนด
หลังการลงคะแนนแล้วแต่ยังไม่ประกาศผลกกต.จะแจกใบส้ม ซึ่งใบส้มนี้จะใช้กับส.ส.เขตที่มีพฤติกรรมที่เชื่อได้ว่าทำให้เกิดทุจริต ส่วนกรณีของคุณธนาธร ประการแรกเป็นที่ข้องใจว่ากกต.มีอำนาจหรือเปล่าในการตรวจสอบ
ซึ่งสำนักข่าวอิศราได้นำเรื่องนี้มาเปิดเผยในฐานะผู้ฟ้อง ในที่สุดก็ต้องยอมรับเพราะว่า มาตรา 53 ของพ.ร.บ.เลือกตั้งส.ส. นั้น บังคับใช้กับส.ส.เขตเท่านั้น แต่กรณีของคุณธนาธรเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ จึงไม่สามารถระงับสิทธิสมัครรับเลือกตั้งชั่วคราว (ใบส้ม) ได้ แต่ต้องยื่นศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเพื่อวินิจฉัยตามมาตรา 138 แห่งพ.ร.บ.เลือกตั้งส.ส. ก็แปลว่าจบตรงนี้แหละ!
อ.ปิยบุตรก็บอกเหมือนกันว่าเขาให้ใช้กับส.ส.เขต นั่นก็คือ คุณตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นไปแล้ว คุณให้สมัครแล้ว ส.ส.บัญชีรายชื่อเขาไม่ได้มาเกี่ยวข้องกับกระบวนการในวันเลือกตั้ง ดังนั้นไม่สามารถที่จะไปเล่นงานในกรณีบัญชีรายชื่อ
แปลว่าโยนไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง เราต้องมาพูดกันอีกทีว่าแล้วศาลจะเป็นอย่างไร คนก็มีสิทธิที่จะเก็งกันว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
ประเด็นต่อมาก็คือ ถ้าตัวคุณธนาธรเขารู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิเพราะมีคุณสมบัติต้องห้าม ต้องระวางโทษจำคุก 1 ถึง 10 ปี ปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาทถึง 2 แสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำนหด 20 ปีด้วย ตามมาตรา 151 ของพ.ร.บ.เลือกตั้งส.ส.
ดีไม่ดี "ยุบพรรค" อีก คนก็มองเลยไปถึงตรงนี้
ดิฉันถามว่า ถ้าโดยวิสัยจริง ๆ คุณธนาธรแกจะไปตั้งใจเก็บ วี-ลัค เอาไว้หาอะไร? เขาก็ต้องเอาออก โอนหุ้มไปก่อนแล้ว ปัญหาเรื่องถือหุ้นสื่อใคร ๆ เขาก็รู้กัน ถามว่ามีอีกช่องไหม? ก็บอกว่ามันทำทีหลัง และการทำทีหลังแปลว่าตัวเองรู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่มีสิทธิ
ดังนั้นช่องที่จะเล่นงาน แม้ว่าจะเป็นรูเล็ก ๆ มันก็เป็นไปได้เหมือนกันนะ
ถ้ามองในแง่ธรรมดาแง่คิดของคนปกติ มันเป็นไปไม่ได้ที่คุณธนาธรจะตั้งใจเก็บหุ้น วี-ลัค เอาไว้แล้วตั้งใจจะหลอกลวง เพราะเขาควรจะต้องเชื่อโดยสุจริตว่าเขาโอนไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว
แต่ปัญหาคือเมืองไทยมันไม่ปกติ เช่น มีการแต่งตั้งส.ว. 250 คน ป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่าใคร ใครเป็นกรรมการยังไม่รู้เลย ใครได้รับการคัดเลือกบ้างยังไม่รู้เลย แล้วปล่อยให้มีรธน.แบบนี้ มีคนตั้ง 250 ส.ว. แล้วมาเลือกนายกฯ มันยังเกิดขึ้นได้ หรือการพิจารณาลับหลัง หรือการพิจารณาในกรณีที่เรียกว่าฟังดูเหมือนไม่มีเหตุผล เป็นการใช้เทคนิคทางกฎหมายหนึ่ง เป็นการใช้อภินิหารทางกฎหมายหนึ่ง
ดิฉันอยากจะมีข้อเตือนใจไปยังฝ่ายอนุรักษ์นิยมอำนาจนิยมว่า ถึงท่านจะใช้อภินิหารทางกฎหมาย อภินิหารรธน. อภินิหารของศาล ทั้งหมดนี้เปลืองหมดเลย แล้วสุดท้ายประเทศไทยเหลืออะไร
ถ้าประชาชนไม่เชื่อมั่นในรธน. ในความยุติธรรม ปัญหาความยุติธรรมมันเป็นฟางเส้นสุดท้ายของประชาชน คุณใช้เปลืองมากจนไม่มีอะไรเหลือแล้ว มันเสี่ยง!
ท่านต้องเข้าใจนะว่าการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่มันเกิดขึ้นจากรธน.ของท่านเอง ไม่ได้เกิดจากเจตนาของพรรคเพื่อไทย - ไทยรักไทย เขาไม่ได้นัดกันมาตั้ง ดีไม่ดีคนที่อยู่ในพรรคเพื่อไทยอาจจะมองว่าพรรคอนาคตใหม่มาแย่งคะแนนด้วยซ้ำ
ดังนั้นพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นโดยอิสระ เกิดขึ้นจากผลพวงของการทำรัฐประหาร เกิดขึ้นจากรธน.และกฎหมายประกอบรธน.ฉบับนี้ แต่ถ้าท่านจะใช้อาวุธแบบเดียวกันกับที่ท่านได้ทำกับสิ่งที่เรียกว่าทุนสามานย์และพรรคพวกมาทำกับอนาคตใหม่ ท่านต้องเข้าใจนะว่า 6 ล้านกว่าเสียงของอนาคตใหม่นั้นมีองค์ประกอบคือ
1) เป็น New Voter เป็นคนใหม่
2) เป็นคนที่เคยเลือกประชาธิปัตย์ เปลี่ยนมาเลือกอนาคตใหม่
3) เป็นคนที่เคยเลือกเพื่อไทย เปลี่ยนมาเลือกอนาคตใหม่
ไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของใคร เป็นอิสระในการเลือกของประชาชน ท่านอาจจะคิดว่าแค่ 6 ล้านกว่าไม่เป็นไร ของพวกผมชนะตั้ง 8 ล้านกว่า
แต่คุณต้องเอามารวมกันนะของพรรคเพื่อไทย ไม่ต้องเอาที่นั่งก็ได้ เอาเสียงโหวต พรรคเพื่อไทย+พรรคอนาคตใหม่+ฝ่ายประชาธิปไตยพรรคอื่น ๆ 10 กว่าล้าน มันมากกว่าที่เลือกพรรคพลังประชารัฐอยู่แล้ว
โดยเฉพาะคนที่เลือกพรรคอนาคตใหม่นั้น ไม่ใช่คนแก่ ไม่ใช่คนรากหญ้าเป็นหลัก เป็นคนรุ่นใหม่ เป็นคนหนุ่มสาว เป็นคนที่ไม่ได้ถูกตราหน้าว่าสนตะพายโดยใครทั้งสิ้น พูดง่าย ๆ ว่าเป็นโหวตเตอร์ที่มีคุณภาพ
คำถามสุดท้ายคือ
คุณจะให้ธนาธรอยู่ในรัฐสภา หรือ
คุณจะให้ธนาธรเป็นผู้นำของ "ฟิวเจอร์ริสต้า" ภาคประชาชน
ก็ลองดูค่ะ
ดังนั้นอาวุธที่ต้องการจัดการกับพรรคสายกลุ่มของเพื่อไทย ไทยรักไทย ก็กลายมาเป็นอาวุธที่จัดการตัวเอง หรือกลายเป็นประโยชน์กับฝ่ายพรรคเพื่อไทย และดูเป็นอาวุธที่มีพลานุภาพ เข้มแข็ง นั่นก็คือ ความแน่วแน่ของพรรคอนาคตใหม่ในการต่อต้านการสืบทอดอำนาจ
การที่พรรคการเมืองไปตกลงกัน 6 พรรค (ไม่แน่ใจว่า 6 พรรค) ตรงนั้นดูประหนึ่งว่าเป็นการตั้งรัฐบาล แต่ในทัศนะดิฉันมองจากฝ่ายประชาธิปไตย มันเป็นการตกลงกันว่าจะจับมือกันเพื่อต่อต้านการสืบทอดอำนาจ
พรรคอนาคตใหม่ที่เกิดขึ้นมันกลายเป็นหน่วยหัวแหลม เป็นกองหน้าของพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยที่มีพลัง ไม่ว่าจะคำนึงถึงป็อปพูล่าโหวต 6 ล้านกว่าเสียง ไม่ว่าจะคำนึงถึงที่นั่ง ซึ่งคำนวณให้ถูกแล้วมันต้องได้อย่างต่ำ 87 ที่นั่ง
คือคะแนนที่พึงมี 88 ที่นั่ง แต่จากที่มันเกินมา 2 ที่ พรรคอนาคตใหม่ก็อาจต้องถูกตัดไปตามหลักการ แต่ดิฉันยังไม่รู้ว่าศาลรธน.จะบอกอย่างไร และก็ไม่รู้ว่ากกต.จะจัดการอย่างไร
ดังนั้นก็ช่วยไม่ได้ที่คนจะมองว่าการคิดส.ส.บัญชีรายชื่อตามแบบของกกต. ตามแบบของกรธ. อาจจะเป็นวิธีการหนึ่งในการจัดการของซีกพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย โดยเฉพาะทำให้เสียงของพรรคอนาคตใหม่หายไป 8 เสียง ซึ่งแทนที่จะหายไปเพียง 1 เสียง
นั่นก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะสกัดกั้นความร้อนแรงในด้านจำนวนที่นั่ง สกัดความเหนียวแน่นของพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยเพื่อให้ตัวเลขไม่ถึง 250 เพราะถ้าพรรคอนาคตใหม่ได้ที่นั่ง 87 ที่นั่ง นั่นหมายความว่าซักฝ่ายประชาธิปไตยรวมกันแล้วเกิน 250 แน่ ๆ ดังนั้นมีปัญหาแน่ในการฟอร์มรัฐบาล
เมื่อพรรคเศรษฐกิจใหม่ปฏิเสธ, เมื่อพรรคเสรีรวมไทยปฏิเสธ
ดังนั้นจากยุทธศาสตร์ที่จะต้องจัดการกับพรรคที่เกี่ยวข้องกับทุนสามานย์ซึ่งเตรียมเอาไว้ถึง 20 ปี แม้คุณธนาธรไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณทักษิณ แต่คุณธนาธรก็ต้องมาปรากฎตัวในยุทธศาสตร์ที่จะต้องถูกจัดการไปด้วย...หรือเปล่า? ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะตั้งข้อสงสัย
นอกจากวิธีการคำนวณทำให้หายไป 7-8 ที่นั่ง ทำให้การฟอร์มรัฐบาลของฝ่ายประชาธิปไตยเป็นไปไม่ได้แล้ว อีกเรื่องหนึ่งกำลังฮิตมากในขณะนี้ก็คือ การจัดการกับ 2 ผู้นำ คุณธนาธรกับคุณปิยบุตร แน่นอนว่าต่างคดี คุณปิยบุตรนั้นโดนในแง่ที่ว่าออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยในกรณีที่พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบและเจอข้อหาหมิ่นศาล-ม.116
คุณปิยบุตรบอกว่าไม่รู้สึกกังวลในฐานะเป็นนักกฎหมาย, เป็นอาจารย์เพราะเชื่อว่าไม่ได้หมิ่นศาล แต่เป็นการอธิบายแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างมีวุฒิภาวะ อย่างผู้มีความรู้ และถือว่าเป็นสิทธิที่มีความเห็นต่าง นี่เป็นหนึ่งประเด็น
มาถึงประเด็นคุณธนาธรซึ่งเรารู้กันแล้วว่าเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการถือหุ้นแล้วเอาหุ้นออกจากตัวก่อนหรือหลังท่าสมัครเลือกตั้ง แต่ความเป็นจริงทุกคนก็รู้ว่าหุ้นสื่อที่คุณธนาธรไปถือเอาไว้ มันเป็นสื่อวารสารซึ่งไม่มีบทบาทอะไรในสังคม และดูเหมือนว่าจะหยุดกิจการไปแล้ว
โดยทั่วไปคนที่ทำธุรกิจก็จะรู้ จะมีการตั้งบริษัทเอาไว้มาก คล้าย ๆ การเปิดประตูว่าเผื่อจะไปทำ ถ้าไม่ทำธุรกิจนั้นก็ปล่อยให้มันแห้งและมายกเลิกภายหลัง บางครั้งกิจการที่ไม่ได้มีการสนใจจริงจัง บางครั้งก็ถูกลืม
แต่ตรงนี้ทั้งคุณธนาธร, คุณปิยบุตรและทนายก็ได้พูดชัดเจนว่าได้โอนไปแล้วตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. ปัญหาก็คือหลายคนตีปีกเพราะว่ามันไปส่งถึงหน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์หลังจากวันที่สมัคร แต่บริษัทนี้ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กติกาของมันก็คือคุณจะไปแจ้งเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นหรืออะไรก็ต่อเมื่อถึงกำหนด
หลังการลงคะแนนแล้วแต่ยังไม่ประกาศผลกกต.จะแจกใบส้ม ซึ่งใบส้มนี้จะใช้กับส.ส.เขตที่มีพฤติกรรมที่เชื่อได้ว่าทำให้เกิดทุจริต ส่วนกรณีของคุณธนาธร ประการแรกเป็นที่ข้องใจว่ากกต.มีอำนาจหรือเปล่าในการตรวจสอบ
ซึ่งสำนักข่าวอิศราได้นำเรื่องนี้มาเปิดเผยในฐานะผู้ฟ้อง ในที่สุดก็ต้องยอมรับเพราะว่า มาตรา 53 ของพ.ร.บ.เลือกตั้งส.ส. นั้น บังคับใช้กับส.ส.เขตเท่านั้น แต่กรณีของคุณธนาธรเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ จึงไม่สามารถระงับสิทธิสมัครรับเลือกตั้งชั่วคราว (ใบส้ม) ได้ แต่ต้องยื่นศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเพื่อวินิจฉัยตามมาตรา 138 แห่งพ.ร.บ.เลือกตั้งส.ส. ก็แปลว่าจบตรงนี้แหละ!
อ.ปิยบุตรก็บอกเหมือนกันว่าเขาให้ใช้กับส.ส.เขต นั่นก็คือ คุณตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นไปแล้ว คุณให้สมัครแล้ว ส.ส.บัญชีรายชื่อเขาไม่ได้มาเกี่ยวข้องกับกระบวนการในวันเลือกตั้ง ดังนั้นไม่สามารถที่จะไปเล่นงานในกรณีบัญชีรายชื่อ
แปลว่าโยนไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง เราต้องมาพูดกันอีกทีว่าแล้วศาลจะเป็นอย่างไร คนก็มีสิทธิที่จะเก็งกันว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
ประเด็นต่อมาก็คือ ถ้าตัวคุณธนาธรเขารู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิเพราะมีคุณสมบัติต้องห้าม ต้องระวางโทษจำคุก 1 ถึง 10 ปี ปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาทถึง 2 แสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำนหด 20 ปีด้วย ตามมาตรา 151 ของพ.ร.บ.เลือกตั้งส.ส.
ดีไม่ดี "ยุบพรรค" อีก คนก็มองเลยไปถึงตรงนี้
ดิฉันถามว่า ถ้าโดยวิสัยจริง ๆ คุณธนาธรแกจะไปตั้งใจเก็บ วี-ลัค เอาไว้หาอะไร? เขาก็ต้องเอาออก โอนหุ้มไปก่อนแล้ว ปัญหาเรื่องถือหุ้นสื่อใคร ๆ เขาก็รู้กัน ถามว่ามีอีกช่องไหม? ก็บอกว่ามันทำทีหลัง และการทำทีหลังแปลว่าตัวเองรู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่มีสิทธิ
ดังนั้นช่องที่จะเล่นงาน แม้ว่าจะเป็นรูเล็ก ๆ มันก็เป็นไปได้เหมือนกันนะ
ถ้ามองในแง่ธรรมดาแง่คิดของคนปกติ มันเป็นไปไม่ได้ที่คุณธนาธรจะตั้งใจเก็บหุ้น วี-ลัค เอาไว้แล้วตั้งใจจะหลอกลวง เพราะเขาควรจะต้องเชื่อโดยสุจริตว่าเขาโอนไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว
แต่ปัญหาคือเมืองไทยมันไม่ปกติ เช่น มีการแต่งตั้งส.ว. 250 คน ป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่าใคร ใครเป็นกรรมการยังไม่รู้เลย ใครได้รับการคัดเลือกบ้างยังไม่รู้เลย แล้วปล่อยให้มีรธน.แบบนี้ มีคนตั้ง 250 ส.ว. แล้วมาเลือกนายกฯ มันยังเกิดขึ้นได้ หรือการพิจารณาลับหลัง หรือการพิจารณาในกรณีที่เรียกว่าฟังดูเหมือนไม่มีเหตุผล เป็นการใช้เทคนิคทางกฎหมายหนึ่ง เป็นการใช้อภินิหารทางกฎหมายหนึ่ง
ดิฉันอยากจะมีข้อเตือนใจไปยังฝ่ายอนุรักษ์นิยมอำนาจนิยมว่า ถึงท่านจะใช้อภินิหารทางกฎหมาย อภินิหารรธน. อภินิหารของศาล ทั้งหมดนี้เปลืองหมดเลย แล้วสุดท้ายประเทศไทยเหลืออะไร
ถ้าประชาชนไม่เชื่อมั่นในรธน. ในความยุติธรรม ปัญหาความยุติธรรมมันเป็นฟางเส้นสุดท้ายของประชาชน คุณใช้เปลืองมากจนไม่มีอะไรเหลือแล้ว มันเสี่ยง!
ท่านต้องเข้าใจนะว่าการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่มันเกิดขึ้นจากรธน.ของท่านเอง ไม่ได้เกิดจากเจตนาของพรรคเพื่อไทย - ไทยรักไทย เขาไม่ได้นัดกันมาตั้ง ดีไม่ดีคนที่อยู่ในพรรคเพื่อไทยอาจจะมองว่าพรรคอนาคตใหม่มาแย่งคะแนนด้วยซ้ำ
ดังนั้นพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นโดยอิสระ เกิดขึ้นจากผลพวงของการทำรัฐประหาร เกิดขึ้นจากรธน.และกฎหมายประกอบรธน.ฉบับนี้ แต่ถ้าท่านจะใช้อาวุธแบบเดียวกันกับที่ท่านได้ทำกับสิ่งที่เรียกว่าทุนสามานย์และพรรคพวกมาทำกับอนาคตใหม่ ท่านต้องเข้าใจนะว่า 6 ล้านกว่าเสียงของอนาคตใหม่นั้นมีองค์ประกอบคือ
1) เป็น New Voter เป็นคนใหม่
2) เป็นคนที่เคยเลือกประชาธิปัตย์ เปลี่ยนมาเลือกอนาคตใหม่
3) เป็นคนที่เคยเลือกเพื่อไทย เปลี่ยนมาเลือกอนาคตใหม่
ไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของใคร เป็นอิสระในการเลือกของประชาชน ท่านอาจจะคิดว่าแค่ 6 ล้านกว่าไม่เป็นไร ของพวกผมชนะตั้ง 8 ล้านกว่า
แต่คุณต้องเอามารวมกันนะของพรรคเพื่อไทย ไม่ต้องเอาที่นั่งก็ได้ เอาเสียงโหวต พรรคเพื่อไทย+พรรคอนาคตใหม่+ฝ่ายประชาธิปไตยพรรคอื่น ๆ 10 กว่าล้าน มันมากกว่าที่เลือกพรรคพลังประชารัฐอยู่แล้ว
โดยเฉพาะคนที่เลือกพรรคอนาคตใหม่นั้น ไม่ใช่คนแก่ ไม่ใช่คนรากหญ้าเป็นหลัก เป็นคนรุ่นใหม่ เป็นคนหนุ่มสาว เป็นคนที่ไม่ได้ถูกตราหน้าว่าสนตะพายโดยใครทั้งสิ้น พูดง่าย ๆ ว่าเป็นโหวตเตอร์ที่มีคุณภาพ
คำถามสุดท้ายคือ
คุณจะให้ธนาธรอยู่ในรัฐสภา หรือ
คุณจะให้ธนาธรเป็นผู้นำของ "ฟิวเจอร์ริสต้า" ภาคประชาชน
ก็ลองดูค่ะ