วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2568

'ธงชัย วินิจจะกูล' ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาล ขอให้ศาลไต่สวนกรมราชทัณฑ์ในการใส่เครื่องพันธนาการ 'อานนท์ นำภา'

 


'ธงชัย วินิจจะกูล' ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาล ขอให้ศาลไต่สวนกรมราชทัณฑ์ในการใส่เครื่องพันธนาการ 'อานนท์ นำภา' 


เพื่อยืนยันว่าการใช้เครื่องพันธนาการด้วยการใส่กุญแจเท้าและโซ่ตรึงขาทั้งสองข้างระหว่างนำตัวมาพิจารณาคดีหรือว่าความในศาล เป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ นอกจากจะเป็นการละเมิดกฎหมายในประเทศ ยังเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นการกระทำที่เกินสมควรและไม่ได้สัดส่วนกับความจำเป็น


วันที่ 21 ตุลาคม 2568 เวลา 13.30 น. ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. ธงชัย วินิจจะกูล ได้เดินทางไปยังศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พร้อมด้วยมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และประชาชนจำนวนหนึ่ง เพื่อยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาล ในคดีหมายเลข ปท. 2/2568 ขอให้ศาลไต่สวนกรมราชทัณฑ์ในการใส่เครื่องพันธนาการอานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชนและผู้ต้องขังคดีทางการเมือง เพื่อยืนยันว่าการใช้เครื่องพันธนาการด้วยการใส่กุญแจเท้าและโซ่ตรึงขาทั้งสองข้างระหว่างนำตัวอานนท์มาพิจารณาคดีหรือว่าความในศาล เป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ นอกจากจะเป็นการละเมิดกฎหมายในประเทศ ยังเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นการกระทำที่เกินสมควรและไม่ได้สัดส่วนกับความจำเป็น


มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้เปิดเผยคำแถลง "ธงชัย วินิจจะกูล" ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาล กรณีให้ทำการไต่สวนเพื่อปลดพันธนาการที่กระทำต่อนายอานนท์ นำภา ตามมาตรา 26 (6) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 เพื่อให้มีคำสั่งยุติการพันธนาการนายอานนท์ ด้วยการใส่กุญแจข้อเท้าและโซ่ตรึงขาทั้งสองข้างระหว่างนำตัวมาพิจารณาคดีหรือว่าความในศาล เพราะเป็นการกระทำที่โหดร้าย ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของนายอานนท์ ละเมิดกฎหมายในประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ เป็นการกระทำที่เกินสมควรและไม่ได้สัดส่วนกับความจำเป็น 


ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า การกระทำของเจ้าพนักงานราชทัณฑ์ดังกล่าวมีมูลเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่าเป็นการกระทำที่โหดร้ายหรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มาตรา 6 หรือไม่ และต้องพิจารณาว่าการกระทำนั้นมีลักษณะเป็นการล่วงละเมิดสิทธิจนเกินขอบเขตแห่งความจำเป็นหรือไม่ 


สาระสำคัญของคำอุทธรณ์ต่อคำสั่งของศาลชั้นต้น กรณีให้ทำการไต่สวนเพื่อปลดพันธนาการที่กระทำต่อนายอานนท์ นำภา


ผู้ร้อง (ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. ธงชัย วินิจจะกูล) ได้ยื่นคำร้องต่อศาล ตามมาตรา ๒๖ (๖) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. ๒๕๖๕ เพื่อให้มีคำสั่งยุติการพันธนาการนายอานนท์ ด้วยการใส่กุญแจข้อเท้าและโซ่ตรึงขาทั้งสองข้างระหว่างนำตัวมาพิจารณาคดีหรือว่าความในศาล เพราะเป็นการกระทำที่โหดร้าย ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของนายอานนท์ ละเมิดกฎหมายในประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ เป็นการกระทำที่เกินสมควรและไม่ได้สัดส่วนกับความจำเป็น  


ต่อมาวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๘ ศาลไต่สวนพยานจำนวน ๔ ปาก และในวันเดียวกันศาลมีคำสั่งให้ยกคำร้อง 

.

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า การกระทำของเจ้าพนักงานราชทัณฑ์ดังกล่าวมีมูลเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่าเป็นการกระทำที่โหดร้ายหรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. ๒๕๖๕ มาตรา ๖ หรือไม่ และต้องพิจารณาว่าการกระทำนั้นมีลักษณะเป็นการล่วงละเมิดสิทธิจนเกินขอบเขตแห่งความจำเป็นหรือไม่ 


ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว เห็นว่ายังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว ศาลเห็นว่าพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๑ (๔) ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการใช้เครื่องพันธนาการเมื่อควบคุมตัวผู้ต้องขังไปนอกเรือนจำเพื่อความปลอดภัยและเพื่อป้องกันการหลบหนี ดังนั้นการกระทำของเจ้าหน้าที่จึงเป็นการใช้อำนาจตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ 


ด้วยความเคารพต่อคำสั่งของศาลชั้นต้น ผู้ร้องไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง จึงมีความประสงค์ขออุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและในปัญหาข้อกฎหมาย ดังเหตุผลดังต่อไปนี้


ประการแรก ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า แม้การใช้เครื่องพันธนาการจะเป็นการจำกัดเสรีภาพและอาจส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้เสียหายและบุคคลอื่นอยู่บ้าง แต่ก็ต้องพิจารณาว่าการกระทำนั้นมีลักษณะเป็นการล่วงละเมิดสิทธิจนเกินขอบเขตแห่งความจำเป็นหรือไม่ นั้น  


นายอานนท์ นำภา ยืนยันต่อศาลว่า ได้รับผลกระทบจากการใส่เครื่องพันธนาการดังกล่าวเนื่องจากเครื่องพันธนาการมีการเสียดสีก่อให้เกิดบาดแผลแก่ขา และทำให้ไม่สามารถก้าวขาเดินได้ตามปกติ ศาลให้พยานยกขาที่ถูกเครื่องพันธนาการ สามารถเห็นได้ชัดเจนถึงรอยแผลเก่า และจะมีแผลใหม่ขึ้นทุกครั้งในช่วงเย็นของแต่ละวัน การใส่เครื่องพันธนาการยังทำให้พยานได้รับการปฏิบัติเยี่ยงสัตว์ การที่ผู้ต้องขังที่ถูกพันธนาการปรากฏในห้องพิจารณาของศาล ย่อมเป็นการตีตราให้มีความผิดไปเสียแล้ว ส่งผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจของอารยชนอย่างแน่นอน แล้วทำไมจึงจะต้องสืบทอดการปฏิบัติอันป่าเถื่อนเช่นนั้นต่อไป


ประการที่สอง ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๑ บัญญัติอย่างชัดเจนว่า ห้ามใช้หรือใส่เครื่องพันธนาการแก้ผู้ต้องขัง เว้นแต่มีเหตุจำเป็น ซึ่งผู้สั่งใช้เครื่องพันธนาการต้องบันทึกเหตุผลหรือความจําเป็นที่ต้องใช้เครื่องพันธนาการกับผู้ต้องขังนั้นไว้ด้วย การใส่เครื่องพันธนาการจึงเป็นข้อยกเว้นไม่ใช้ใส่เป็นการทั่วไป


แต่ทว่าทุกวันนี้แนวปฏิบัติปกติกลับตรงข้ามกับกฎหมาย คือใส่พันธนาการแทบทุกกรณีเมื่อออกจากเรือนจำ การปลดพันธนาการเป็นกรณียกเว้น ประจักษ์พยานที่ชัดเจนของการกลับหัวกลับหางเช่นนี้คือ แบบฟอร์มบันทึกการนำตัวออกไปศาลและนำกลับเข้าเรือนจำของทางราชทัณฑ์เอง เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะลงบันทึกในแบบฟอร์มดังกล่าวว่า ผู้ต้องขังในแต่ละวันมีความจำเป็นต้องใช้เครื่องพันธนาการเพื่อป้องกันการหลบหนีทุกคน ไม่มีการระบุเหตุผลและความจำเป็นรายกรณี ทั้ง ๆที่สิ่งนี้ควรเป็นข้อยกเว้น ไม่ใช่ทำเป็นกิจวัตร แต่ในแบบฟอร์มเดียวกันกลับมีช่องให้บันทึกว่าผู้ต้องขังลำดับใดไม่ใส่เครื่องพันธนาการหรือให้ใส่กุญแจมือแทนโดยระบุเหตุผลเป็นรายกรณี ทั้ง ๆที่สิ่งนี้ควรเป็นแนวปฏิบัติทั่วไปที่เป็นกิจวัตร แบบฟอร์มดังกล่าวจึงเป็นหลักฐานของการกระทำที่ขัดกับพรบ. ราชทัณฑ์มาตรา ๒๑ เสียเอง 


การเหมารวมว่าผู้ต้องหาหรือผู้ต้องขังทุกคนจะมีพฤติกรรมในการหลบหนีย่อมไม่ถูกต้อง เพราะการหลบหนีของผู้ต้องขังเป็นไปได้น้อยมาก มีเพียงไม่กี่คดี การบันทึกเหตุผลความจำเป็นในการใช้เครื่องพันธนาการเป็นรายกรณีจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการใช้อำนาจที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องขังอย่างมาก ในเมื่อเจ้าหน้าที่ปฏิบัติในทางตรงกันข้าม แต่ศาลชั้นต้นกลับเห็นไปว่าไม่กระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องขังแต่อย่างใด 


เมื่อมีพรบ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ผู้ร้องจึงเชื่อมั่นว่าระบบตุลาการหรือการไต่สวนของศาลจะนำพามาซึ่งการตรวจสอบการใช้อำนาจของกรมราชทัณฑ์ แต่กลับกลายเป็นว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายประเด็นนี้ว่าเป็นเพียงการบกพร่องในการปฏิบัติ ทั้งที่จริงแล้วการเหมารวมใส่เครื่องพันธนาการกับผู้ต้องขังออกศาลทุกคนเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ควรถึงเวลาแล้วที่การใส่เครื่องพันธนาการควรจะเป็นเพียงข้อยกเว้นตามเจตจำนงค์ของพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ มาตรา ๒๑


ประการที่สาม นายอานนท์ไม่เคยมีพฤติการณ์ที่พึงสงสัยหรือมีประวัติพยายามหลบหนีแต่อย่างใด แต่เดิมที่เคยได้รับประกันตัวออกมา ก็ไปรายงานตัวตามกำหนดนัดของศาลมาโดยตลอดอีกด้วย เพราะมีความตั้งใจที่จะต่อสู้คดีทุกคดี มาศาลตามนัดทุกครั้งและไม่มีพฤติการณ์ขัดขืนการถูกควบคุมตัว 


ประการที่สี่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ได้เบิกความยืนยันว่า รัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙ วรรคสอง บัญญัติว่าในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดกระทำความผิด จะกระทำต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้ 


ประการที่ห้า ประเทศไทยมีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตามกติกาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนพลเมืองหรือ ICCPR และข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหรือ MANDELA RULES ซึ่งระบุว่าการใส่เครื่องพันธนาการเป็นข้อยกเว้น ใช้ต่อเมื่อไม่มีวิธีการอื่นใดแล้ว นอกจากนี้ ประเทศฝรั่งเศส แคนาดา เยอรมัน อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ก็มีหลักการใส่เครื่องพันธนาการในที่เป็นกรณีจำเป็นเท่านั้น ฝรั่งเศสและแคนาดาห้ามไม่ให้ใส่เครื่องพันธนาการในขณะที่อยู่ในห้องพิจารณาเด็ดขาด 


ประการที่หก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รณกรณ์ บุญมี ได้เบิกความเป็นพยานว่า มาตรา ๒๖ ของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ นั้นไม่ได้ตรวจสอบว่าการควบคุมนั้นชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ตรวจสอบว่าเป็นการกระทำโดยทรมานหรือทารุณโหดร้ายหรือไม่ ซึ่งวัตถุการตรวจสอบเป็นคนละแบบกัน 


ตามมาตรา ๖ ของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติต่อผู้ต้องขังในลักษณะร้ายแรงจะมีเจตนาหรือไม่ ไม่ใช่สาระสำคัญที่จะต้องพิจารณา โดยในท้ายของพรบ.มีการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังตามการปฏิบัติของนานาชาติในข้อ ๔๗ ซึ่งกำหนดไว้ชัดเจนว่า การใส่กุญแจเท้าเป็นการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรม ห้ามมิให้กระทำโดยเด็ดขาด


ประการที่เจ็ด ศาลปกครองชั้นต้นได้มีคำวินิจฉัยและสั่งการให้กรมราชทัณฑ์ปลดเครื่องพันธนาการออกจากจำเลยมาแล้ว ได้แก่ คดีหมายเลข อ.๓๕๘/๒๕๕๖ และคดีหมายเลขดำที่ ๗๔๗/๒๕๕๐ หรือคดีหมายเลขแดงที่ ๑๔๓๘/๒๕๕๒ ด้วยเห็นว่าการใส่ตรวนนักโทษเป็นการละเมิดต่อเสรีภาพในร่างกายและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีลักษณะเป็นการทรมาน ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๖ และมาตรา ๓๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่บังคับใช้ในขณะนั้น และทำให้เสียหายต่อร่างกายขัดต่อมาตรา ๔๒๐ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ขัดต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชนของสหประชาชาติ ข้อ ๑, ๕ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ ๗, ๑๐ (๑) ซึ่งมีผลใช้บังคับในประเทศไทย และขัดต่อกฎมาตรฐานขั้นต่ำของการปฏิบัติต่อนักโทษขององค์การสหประชาชาติ ข้อ ๓๓ ซึ่งเป็นการตีความอย่างเคร่งครัดตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ (ฉบับก่อน ซึ่งบัญญัติตรงกับฉบับปัจจุบันในเรื่องนี้)


ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น การวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของผู้ร้องจึงเป็นการวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งการใส่เครื่องพันธนาการโดยไม่มีเหตุผลจำเป็นและได้สัดส่วนรายกรณี ก่อให้เกิดบาดแผลต่อร่างกายและจิตใจอย่างต่อเนื่อง เข้าข่ายเป็นการทรมานตามมาตรา ๕ และ การปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมตามมาตรา ๖ ของของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ และเป็นการปฏิบัติที่ขัดต่อหลักการสูงสุดของรัฐธรรมนูญและหลักการสากล 


ขอศาลอุทธรณ์โปรดพิจารณาพิพากษากลับคำสั่งของศาลชั้นต้น เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายต่อไป


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์  #กรมราชทัณฑ์ #อานนท์นำภา




ชัยธวัช - สส.พรรคประชาชน ขอสภาดันนิรโทษกรรมคดี 112 แบบมีเงื่อนไขให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี

 


ชัยธวัช - สส.พรรคประชาชน ขอสภาดันนิรโทษกรรมคดี 112 แบบมีเงื่อนไขให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี 


วันที่ 21 ตุลาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ในวาระ 2 และ 3 โดยเป็นการพิจารณาเรียงตามลำดับมาตรา เมื่อถึงมาตรา 3 ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กรุงเทพฯ เขต 11 พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการ อภิปรายว่าในมาตรา 3 ตนสงวนความเห็นไว้ว่า


“ภายใต้บังคับมาตรา 6 พ.ร.บ.นี้ มิให้มีผลนิรโทษกรรมแก่การกระทำความผิดฐานทุจริตหรือประพฤติมิชอบ การกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 การกระทำความผิดที่ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายหรือได้รับอันตรายสาหัส และการกระทำความผิดต่อส่วนตัวหรือที่เป็นการกระทำที่ต้องรับผิดต่อบุคคลใดที่มิใช่หน่วยงานของรัฐ เป็นการเฉพาะรายหรือเฉพาะกลุ่ม ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดมีอายุเกินสิบแปดปีในขณะกระทำความผิด”


จากข้อความดังกล่าว ในชั้นกรรมาธิการรวมถึงเพื่อนสมาชิกหลายคน มีความกังวลอย่างยิ่งว่าเราจะไปแก้ไขมาตรา 3 ซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจของ พ.ร.บ. นี้หรือไม่ ซึ่งตนขอชี้แจงอย่างตรงไปตรงมาว่าสิ่งที่เราพิจารณาคือจะแก้กฎหมายอย่างไรให้เยาวชนได้รับประโยชน์จากมาตรานี้ โดยที่ไม่ไปแตะหัวใจสำคัญของร่างกฏหมาย ซึ่งข้อความที่ตนเพิ่มเข้าไป หมายความว่ามาตรา 3 ที่ล็อกเอาไว้ไม่ให้มีการนิรโทษกรรมคนบางกลุ่ม จะไม่รวมในกรณีที่อายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ 


“ตอนนี้ยังมีผู้ต้องขังทางการเมืองอีกหลายคนที่รอเราอยู่ข้างนอก และมีข้อวิจารณ์มากมายว่าการผ่านร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ที่ไม่ไปแตะในมาตรา 3 จะเป็นการนิรโทษกรรมให้กับคนบางกลุ่มบางส่วนหรือไม่ ละทิ้งผู้ต้องขังทางการเมืองบางกลุ่มหรือไม่”


ศศินันท์กล่าวต่อว่า คดีมาตรา 112 เป็นเรื่องที่เราถกเถียงกันทั้งในสภาและในชั้นกรรมาธิการ แต่ตนขอความเห็นใจและขอความเข้าใจจากเพื่อน สส. ทุกคนว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องแก้ไขในมาตรา 3 โดยเพิ่มข้อความตามที่ตนสงวนความเห็นไว้ เพื่ออย่างน้อยจะปลดพันธนาการให้แก่คนที่อายุต่ำกว่า 18 ปีได้มีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ กลับมาเรียนหนังสือ ประกอบอาชีพสุจริต โดยยืนยันว่าการแก้ไขตามที่ตนสงวนความเห็น จะไม่ได้กระทบต่อมาตราอื่น 


ส่วนที่บางคนกังวลว่าเมื่อแก้ไขตามที่ตนเสนอแล้ว จะมีผลให้เป็นการนิรโทษกรรมเลยทันทีหรือไม่ ซึ่งขอชี้แจงว่าอย่างไรก็ตาม ต้องมีการเข้าสู่กระบวนการของคณะกรรมการสร้างเสริมสังคมสันติสุขอยู่ดี รวมถึงตามหลักสากล เรามีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ที่ประเทศไทยได้ภาคยานุวัติไว้ว่าไม่ควรดำเนินคดีกับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ดังนั้นในมาตรา 3 ถ้าสภาร่วมโหวตตามที่ตนสงวนความเห็น จะก่อให้เกิดผลดีต่อสภา ต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในอนาคต จึงขอความกล้าหาญของผู้แทนราษฎรทุกคนอีกครั้ง 


ด้าน ชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย กล่าวว่า มาตรา 3 เป็นการบัญญัติข้อยกเว้นไว้ว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้ จะไม่นิรโทษกรรมคดีไหนบ้าง ซึ่งเนื้อหาที่ตนสงวนไว้มีความแตกต่างจากความเห็นของกรรมาธิการเสียงข้างมากที่มีนัยสำคัญเพียงประเด็นเดียว คือขอให้กำหนดข้อยกเว้นไม่นิรโทษกรรมในคดีผู้กระทำความผิดในคดีมาตรา 112 เฉพาะคนที่ไม่ยอมรับมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ ที่ให้อำนาจแก่คณะกรรมการสร้างเสริมสังคมสันติสุขกำหนด


กล่าวโดยง่ายคือตนเสนอให้ พ.ร.บ. ฉบับนี้ นิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 อย่างมีเงื่อนไข เนื่องจากที่ผ่านมา ตนได้พยายามพูดคุยกับหลายฝ่ายที่มีความเห็นแตกต่างกัน พูดคุยกับเยาวชนคนรุ่นใหม่ กลุ่มบุคคลที่ออกมาแสดงออกทางการเมืองและถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 จำนวนมากมีความเข้าใจมากขึ้นและไม่ปฏิเสธเสียทีเดียวในการปรองดองสร้างเสริมสังคมสันติสุข ให้อภัยต่อกันด้วยการนิรโทษกรรมคดี 112 เพียงแต่ประเด็นร่วมที่บางฝ่ายกังวล คือเมื่อมีการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดหรือผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดตามมาตรา 112 แล้ว เมื่อออกมาแล้วจะกลับมาแสดงออกทางการเมืองในสิ่งที่หลายฝ่ายไม่เห็นด้วยหรือไม่พึงประสงค์อีกหรือไม่


จึงเป็นที่มาในการริเริ่มเสนอให้มีการนิรโทษกรรมคดี 112 แบบมีเงื่อนไข ซึ่งตนเชื่อมั่นว่ามาตรการแบบนี้ได้พยายามที่สุดที่จะหาจุดตรงกลางที่เข้าใจทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายที่มีความกังวลและฝ่ายที่ถูกดำเนินคดี เพื่อทำให้การนิรโทษกรรมตาม พ.ร.บ. ฉบับนี้ สามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุดที่บอกว่าจะสร้างเสริมสังคมสันติสุขได้อย่างแท้จริง


ในทางกลับกัน ตนและหลายคนเชื่อว่าถ้าการนิรโทษกรรมครั้งนี้ให้ความสนใจและขีดเส้นนิรโทษกรรมความขัดแย้งข้อหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับกลุ่มการเมืองที่เคยขัดแย้งกันในอดีต แต่กีดกันการดำเนินคดีทางการเมืองที่มีนัยสำคัญที่สุดในปัจจุบันและอาจรวมถึงในอนาคตออกไป จะทำให้กฎหมายฉบับนี้ไม่สามารถบรรลุสิ่งที่เราบอกว่าจะสร้างเสริมสันสังคมสันติสุขได้ แต่อาจกลายเป็นการบ่มบาดแผลและความขัดแย้งในสังคมไทยในปัจจุบันเอาไว้ให้บาดลึกมากยิ่งขึ้น และอาจกดดันให้เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคมไทยในอนาคตได้


“เราต้องยอมรับว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การดำเนินคดีตามมาตรา 112 เกิดขึ้นอีกครั้งในอัตราสูงอย่างมีนัยสำคัญและเกิดความผิดปกติในกระบวนการยุติธรรมจำนวนมาก เหตุการณ์เหล่านี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดขึ้นหลังจากที่มีกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ออกมาแสดงออกทางการเมืองจนนำมาสู่การดำเนินคดี แต่ผมอยากย้ำว่าถ้าเราพยายามทำความเข้าใจการแสดงออกทางการเมืองของเยาวชนคนรุ่นใหม่เหล่านี้ ทั้งคดี 112 และคดีอื่นๆ เป็นเพียงปลายเหตุ เป็นเพียงผลสะท้อนถึงความไม่พอใจของพวกเขาต่อสิ่งที่คนรุ่นเก่าหรือคนที่เป็นผู้ใหญ่ได้สร้างไว้ให้กับการเมืองไทย และส่งมอบเป็นมรดกให้กับพวกเขา”


“ดังนั้นทางออกต่อเรื่องนี้ เป็นภาระของพวกเราทุกคนที่จะช่วยทำให้การเมืองไทยภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เข้ารูปเข้ารอยอย่างที่ควรเป็น ไม่ใช่หาทางออกด้วยการลงทัณฑ์ต่อคนรุ่นใหม่ที่รับเอามรดกบาปจากพวกเราไป”


ชัยธวัชกล่าวว่า ตนขอยกคำพูดของ เบนจา อะปัญ ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 และเป็นหนึ่งในผู้เสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับภาคประชาชนที่ถูกสภาตีตกไป เบญจาได้พูดประโยชน์หนึ่งที่เรียบง่ายมากและแสดงออกถึงเจตจำนงที่ชัดเจนของคนรุ่นใหม่ว่า ‘พวกเราเปลี่ยนอดีตไม่ได้ แต่พวกเราร่วมกันเปลี่ยนอนาคตได้’ จึงขอเชิญชวนผู้แทนราษฎรร่วมกันเปลี่ยนอนาคต ทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่น่าอยู่ อยู่ร่วมกันได้แม้มีความเห็นแตกต่างกันอย่างสันติ พิจารณานิรโทษกรรมคดี 112 อย่างมีเงื่อนไข หรืออย่างน้อยเห็นด้วยกับการสงวนให้พิจารณานิรโทษกรรมคดี 112 ให้แก่เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี พิจารณาโดยใช้มโนธรรมสำนึก ความกล้าหาญ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ความปรารถนาในความสันติสุขร่วมกันอย่างแท้จริง ตามชื่อร่าง พ.ร.บ. นี้


#นิรโทษกรรม #UDDnews #ยูดีดีนิวส์  #มาตรา112

เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน ยื่นหนังสือถึงพรรคประชาชน-เพื่อไทย-ภูมิใจไทย ส่งเสียง “นิรโทษกรรมต้องรวมมาตรา 110-112” ก่อนสภาเริ่มพิจารณา พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข วาระสอง


เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน ยื่นหนังสือถึงพรรคประชาชน-เพื่อไทย-ภูมิใจไทย ส่งเสียง “นิรโทษกรรมต้องรวมมาตรา 110-112” ก่อนสภาเริ่มพิจารณา พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข วาระสอง


วันที่ 21 ตุลาคม 2568 เวลา 10.45 น. ที่รัฐสภา เครือข่ายนิรโทษกรรมนัดหมายรวมตัวใส่เสื้อสีดำยื่นหนังสือต่อพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย เพื่อส่งเสียงยืนยันและย้ำว่า “นิรโทษกรรมต้องรวมมาตรา 112 และมาตรา 110” ก่อนที่ช่วงบ่ายของวันนี้สภาผู้แทนราษฎรจะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข หรือ “กฎหมายนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง” ในวาระที่สอง หลังผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมาธิการ ซึ่งในการประชุมครั้งนี้จะมีการโหวตใหม่ในประเด็นที่ยังมี สส. ผู้ไม่เห็นด้วยสงวนไว้ ซึ่งถือเป็นจังหวะสำคัญที่จะส่งผลโดยตรงต่อสถานการณ์ผู้ต้องขังคดีการเมือง เพราะในขั้นนี้จะเป็นโอกาสให้การนิรโทษกรรมต้องรวมถึงผู้ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 และ 110


ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.พรรคประชาชน กล่าวว่าวันนี้เป็นอีกวันที่ต้องติดตามการอภิปราย หลายคนอาจเข้าใจว่าการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 อาจจบลงไปแล้ว แต่ยังมีหวังในการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 ให้กับเยาวชนอาจเกิดขึ้น ซึ่งในการเจรจากับหลาย ๆ พรรคก็เห็นว่ามีแนวโน้มไปในทางที่ดีว่าการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 ให้กับเยาวชนอาจเกิดขึ้นจากการโหวตในมาตรา 3 พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยยังมีความเชื่อมั่นว่าเราสามารถปลดล็อคสถานการณ์การเมืองนี้ได้ ไม่ใช่แค่การนิรโทษกรรมอย่างเดียว แต่รวมถึงมาตรการอื่น ๆ ที่จะช่วยให้ผู้ต้องขังทางการเมืองออกมาใช้ชีวิตได้ อย่างสิทธิประกันตัว การชะลอฟ้อง หรือการยุติดำเนินคดีในช่วงที่รอนิรโทษกรรม วันนี้สภาจะมีมติในเรื่องนี้อย่างไร อยากฝากให้ประชาชนติดตาม


พนิดา มงคลสวัสดิ์ สส.พรรคประชาชน กล่าวว่าในมาตรา 3 เขียนไว้ชัดเจนว่าจะไม่นิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 ซึ่งอาจเป็นข้อสังเกตได้ว่าจะไม่สามารถนำไปสู่เป้าหมายปลายทางที่ต้องการสร้างเสริมสังคมสันติสุขตามเจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้ได้หากยังมีคนบางกลุ่มได้รับนิรโทษกรรม และคนบางกลุ่มถูกทิ้งไว้ในเรือนจำ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองตลอดกว่า 20 ปีที่ปีผ่านมา จึงอยากชวนทุกท่านติดตามการพิจารณาในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ซึ่งจะเป็นการตัดสินใจของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเสียงของประชาชนมีผลต่อการโหวตของ สส. ว่าต้องการยุติความขัดแย้งนี้หรือไม่


รังสรรค์ มณีรัตน์ สส.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่าตนเพิ่งได้รับทราบเมื่อครู่นี้ว่าได้มีการพูดคุยกับตัวแทนของพรรคเพื่อไทยแล้วในเรื่องมาตรา 3 ซึ่งผลจะออกมาอย่างไรต้องติดตามดู ตัวผมเคยผ่านการต่อสู้ ติดคุก จนคดียกฟ้อง รู้สึกเห็นใจว่าผู้ถูกกระทำในวันนี้สมควรจะได้รับการดูแลจากกฎหมายฉบับนี้

 

#นิรโทษกรรม #UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #มาตรา112 #มาตรา110














โปรดเกล้าฯ พ.ร.บ.ประชามติ ฉบับ 2 มีผล 22 ต.ค. เปิดทางทำประชามติ-เลือกตั้ง วันเดียวกัน

 


โปรดเกล้าฯ พ.ร.บ.ประชามติ ฉบับ 2 มีผล 22 ต.ค. เปิดทางทำประชามติ-เลือกตั้ง วันเดียวกัน


วันนี้ (21 ตุลาคม 2568) ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป โดยมีทั้งหมด 12 มาตรา


สาระสำคัญของการแก้ไขครั้งนี้ มุ่งเน้นเพื่อเพิ่มความสะดวกให้ประชาชน ลดภาระของหน่วยงานรัฐ และปรับปรุงขั้นตอนการออกเสียงให้ทันสมัยและยืดหยุ่นมากขึ้น


เหตุผลสำคัญของการตราพระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ กฎหมายเดิม พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 ไม่ได้เปิดทางให้วันออกเสียงประชามติสามารถจัดขึ้น พร้อมกับวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (กรณีเลือกตั้งทั่วไป) หรือ วันเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ได้


เมื่อมีการจัดประชามติในช่วงเวลาใกล้กับการเลือกตั้ง จึงจำเป็นต้องกำหนดวันออกเสียงแยกต่างหาก ซึ่งส่งผลให้เกิด ภาระด้านงบประมาณแผ่นดิน และ ภาระกับประชาชนที่ต้องเดินทางไปใช้สิทธิหลายครั้ง ดังนั้น กฎหมายฉบับใหม่นี้จึง เปิดทางให้วันออกเสียงประชามติสามารถตรงกับวันเลือกตั้งได้ โดยให้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หารือร่วมกันเรื่องค่าใช้จ่ายและการดำเนินการ


อีกประการหนึ่งที่สำคัญคือ การปรับปรุงวิธีการออกเสียง จากเดิมที่กฎหมายกำหนดให้ ใช้บัตรออกเสียงเป็นหลัก และอนุญาตให้ใช้วิธีอื่นได้ตามดุลพินิจของ กกต.


ฉบับใหม่ระบุให้สามารถกำหนดวิธีการออกเสียงโดยรูปแบบต่าง ๆ ได้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ กกต. เห็นสมควร เพื่อให้ประชาชนมีความสะดวกและเข้าถึงการออกเสียงมากขึ้น อาจรวมถึงการใช้เทคโนโลยีหรือช่องทางสมัยใหม่ในอนาคต


ส่วนของการพิจารณาผลประชามติ กฎหมายฉบับนี้กำหนดว่า เสียงข้างมากของผู้มาออกเสียงจะเป็นข้อยุติของเรื่องที่จัดทำประชามติ โดยมีเงื่อนไขเพิ่มเติมว่า คะแนนเสียงข้างมากจะต้อง “สูงกว่าคะแนนเสียงไม่แสดงความเห็น” ในเรื่องที่ทำประชามตินั้น เพื่อให้ผลประชามติมีน้ำหนักและสะท้อนเจตนาของผู้มีสิทธิออกเสียงที่แสดงความเห็นจริง ๆ


กฎหมายยังย้ำให้การจัดทำและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่จะทำประชามติ ต้องไม่เป็นการชี้นำ ให้ผู้ออกเสียงเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง


นอกจากนี้ เมื่อมีการประกาศกำหนดวันออกเสียงแล้ว กกต. ต้องดำเนินการดังนี้
- เผยแพร่กระบวนการและขั้นตอนการออกเสียง ให้ประชาชนผู้มีสิทธิได้รับทราบอย่างทั่วถึง
- จัดให้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและเท่าเทียมกัน ทั้งฝ่ายเห็นชอบ ฝ่ายไม่เห็นชอบ หรือฝ่ายที่มีความคิดเห็นแตกต่าง เพื่อให้กระบวนการประชามติเป็นไปอย่างโปร่งใสและรอบด้าน


สุดท้าย กฎหมายฉบับนี้กำหนดให้ เขตการออกเสียง หน่วยออกเสียง และที่ออกเสียง เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทในแต่ละพื้นที่และรูปแบบของการออกเสียง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรบประชามติ #แก้ไขรัฐธรรมนูญ #ประชามติ #ราชกิจจานุเบกษา








วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2568

บรรยากาศ Collection Talk : เพราะ #ของทุกชิ้นมีเรื่องเล่า ฟังเรื่องเล่าไม่ธรรมดาจากสิ่งของธรรมดาๆ จากผู้ร่วมมอบสิ่งของจัดแสดงในนิทรรศการ

 


บรรยากาศ Collection Talk : เพราะ #ของทุกชิ้นมีเรื่องเล่า ฟังเรื่องเล่าไม่ธรรมดาจากสิ่งของธรรมดาๆ จากผู้ร่วมมอบสิ่งของจัดแสดงในนิทรรศการ


แม้การเคลื่อนไหวใหญ่ช่วงปี 63 - 64 จะจบลงไปแล้วและจากวันนั้นเราก็เปลี่ยนปฎิทินกันไปสี่ห้าอัน รวมถึงผ่านการเลือกตั้งใหญ่ไปอีกหนึ่งครั้ง ทว่าข้อเรียกร้องสำคัญจากปี 63 อย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ยังไปไม่ถึงไหน ขณะเดียวกัน ก็มีคนที่ออกมาเคลื่อนไหว เรียกร้อง หรือแสดงออกทางการเมืองระหว่างปี 2563 - 2564 มากกว่า 1000 คน ที่ถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาที่หนักเบาแตกต่างกันไป และแม้การเคลื่อนไหวใหญ่จะจบลงไปเกือบกึ่งทศวรรษแล้ว แต่คดีจำนวนหนึ่งก็ยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จ จำเลยบางส่วนยังต้องวนเวียนขึ้นศาลและมีจำนวนหนึ่งถูกคุมขังในเรือนจำ


โอกาสครบรอบ 5 ปี การเคลื่อนไหวใหญ่ปี 2563 พิพิธภัณฑ์สามัญชนและ Kinjai Contemporary จึงชวนชมนิทรรศการ Once Upon a Time 63 


รวมถึงวันนี้ (18 ต.ค. 68) เวลา 16.20 น. -17.50 น. วงพูดคุย Collection Talk เพราะของทุกชิ้นมีเรื่องเล่า อาทิ สว.บาส เทวฤทธิ์ มณีฉาย ที่เมื่อขณะนั้นทำหน้าที่สื่อมวลชน ของประชาไท ที่มอบปลอกแขนสื่อ ที่ลงพื้นที่ในช่วงนั้นรวมจัดแสดง เล่าเรื่องราวจากสนามจริง, โอปอ จากสำนักข่าวราษฎร ที่มอบเสื้อให้กับนิทรรศการ และบอกเล่าเรื่องราวการลงหน้างานปะทะระหว่างม็อบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และการถูกควบคุมตัว, ป้าสาคร กับหมูฝอย และการซื้อของเยี่ยมผู้ต้องขังทางการเมือง, ป้านก, แชมป์ ครช. กับอุปการณ์ที่ประดิษฐ์เอง เพื่อใช้ในการทำกิจกรรม อ.ยุกติ มุกดาวิจิตร กับเนื้อเพลง แฮมทาโร่; แว่น อานนท์ ชวาลาวัณย์ พิพิธภัณฑ์สามัญชน กับ script การปราศรัยปี 63 ที่หาดใหญ่ เป็นต้น 


ที่ Kinjai Contemporary


รับชมรับฟังทั้งหมดได้ที่ 

https://www.facebook.com/thai.udd.news/videos/1724989831523393/


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #onceuponatime63
















“อังคณา-สุณัย” ร้องผบ.ตร. ให้คุ้มครองนักสิทธิฯ หลังถูกคุกคาม-ขู่ฆ่าเอาชีวิตจากการแสดงความเห็น

 


“อังคณา-สุณัย” ร้องผบ.ตร. ให้คุ้มครองนักสิทธิฯ หลังถูกคุกคาม-ขู่ฆ่าเอาชีวิตจากการแสดงความเห็น


เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2568 เวลา 10.00 น.นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา(สว.) และอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และนายสุณัย ผาสุข นักวิชาการอาวุโสจากองค์การฮิวแมนไรท์วอทช์ เดินทางไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อยื่นคำร้องต่อ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เรียกร้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตามหน้าที่ตามกฎหมาย ในการคุ้มครองปกป้องสิทธิมนุษยชน หลังถูกคุกคามและข่มขู่เอาชีวิตอย่างรุนแรง


ภายหลังจากที่ทั้งสองถูกโจมตีและคุกคามทางออนไลน์อย่างรุนแรง จากการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อเรียกร้องให้รัฐเคารพและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในกรณีที่มีอินฟลูเอนเซอร์เปิดรถเครื่องเสียงส่งเสียงรบกวนในพื้นที่ขัดแย้งชายแดนไทยกัมพูชา


การยื่นคำร้องครั้งนี้ต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตามหน้าที่ที่มีในกฎหมาย เพื่อยุติการคุกคามโดยทันที และให้นำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พร้อมทั้งขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตามหน้าที่ตามกฎหมาย ในการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและครอบครัวจากการคุกคามและข่มขู่เอาชีวิต รวมทั้ง คุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #สิทธิมนุษยชน #ผบตร




กว่า 30 เครือข่ายสิทธิมนุษยชน แถลงการณ์สนับสนุน-ปกป้อง สว.อังคณา นีละไพจิตร ผู้ยืนหยัดเพื่อความยุติธรรมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ วอนยุติการคุกคาม-การใช้ Hate Speech เรียกร้องสื่อทุกแขนงยึดมั่นในหลักการ - จริยธรรมแห่งวิชาชีพ

 


กว่า 30 เครือข่ายสิทธิมนุษยชน แถลงการณ์สนับสนุน-ปกป้อง สว.อังคณา นีละไพจิตร ผู้ยืนหยัดเพื่อความยุติธรรมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ วอนยุติการคุกคาม-การใช้ Hate Speech เรียกร้องสื่อทุกแขนงยึดมั่นในหลักการ - จริยธรรมแห่งวิชาชีพ 


วันที่ 17 ต.ค.68 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เป็นตัวแทนองค์กรอิสระและเครือข่ายด้านสิทธิมนุษย์ชนโพสต์แถลงการณ์สนับสนุนและปกป้อง ส.ว.อังคณา นีละไพจิตร หลังถูกโจมตีอย่างรุนแรงในสื่อโทรทัศน์และสื่อออนไลน์บางช่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยผ่านทางแฟนเพจ Cross Cultural Foundation (CrCF) ...


จากกรณีที่อินฟลูเอนเซอร์รายหนึ่งนำรถเครื่องเสียงเข้าไปเปิดเสียงเฮลิคอปเตอร์ เสียงเครื่องบิน F-16 และเสียงโหยหวนของ “ผี”กลางดึกบริเวณบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว เพื่อกดดันชาวกัมพูชาออกไปจากพื้นที่พิพาทในเขตแดนไทย คุณอังคณา นีละไพจิตร และคุณสุณัย ผาสุก นักปกป้องสิทธิมนุษยชน ออกมาแสดงความคิดเห็นว่าการกระทำดังกล่าว เสมือนเป็นการลบล้างสิ่งที่ทางการไทยและเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ได้ดำเนินการในการจัดการข้อพิพาทชายแดนไทย – กัมพูชาด้วยดีมาตลอด


อย่างไรก็ตาม การแสดงความเห็นโดยสุจริตของคุณอังคณา ได้นำไปสู่การโจมตีอย่างรุนแรงในสื่อโทรทัศน์และสื่อออนไลน์บางช่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมุ่งโจมตีความเห็นของคุณอังคณาว่าเป็นผู้ที่ไม่รักชาติ ไม่ปกป้องอธิปไตยของชาติ และสิ่งที่ร้ายแรงกว่านั้น คือการพาดพิงไปถึงกรณีการบังคับสูญหายทนายสมชาย นีละไพจิตร สามีของคุ ณอังคณา ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์บริเวณชายแดนกัมพูชาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้แต่อย่างใด เป็นการตอกย้ำซ้ำเติมบาดแผลในจิตใจของคุณอังคณาและครอบครัว


การพาดพิงถึงกรณีบังคับให้สูญหายของทนายสมชาย นีละไพจิต นำไปสู่การตั้งคำถามถึงจรรยาบรรณและจริยธรรมสื่อ ถึงการนำเสนอข่าวและข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลางและตระหนักรู้ในความเปราะบางของประเด็นปัญหาในสังคม รวมถึงผู้ที่มีชื่อเสียงในสังคมที่ใช้ถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชังและการโจมตีที่ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต่อคุณอังคณา


จากกรณีนี้ สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) และองค์กรสิทธิมนุษยชนตามรายชื่อท้ายแถลงการณ์นี้ มีความกังวลและห่วงใยกับเรื่องที่เกิดขึ้น ด้วยเราตระหนักถึงคุณค่าของหลักสิทธิมนุษยชน ความยุติธรรม และการเคารพความเห็นต่างในสังคม เราขอออกแถลงการณ์เพื่อประกาศจุดยืน สนับสนุนและปกป้อง คุณอังคณา นีละไพจิตร นักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่มีความกล้าหาญและยึดมั่นในหลักการมาอย่างยาวนาน


เราขอเน้นย้ำว่า การตั้งคำถามต่อการทำหน้าที่ของรัฐ การตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานราชการ และการนำเสนอข้อมูลเพื่อผลักดันให้เกิดการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ทุกคนอย่างเสมอภาค เท่าเทียม เป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตย และเป็นหน้าที่โดยสุจริตของตัวแทนประชาชนและนักปกป้องสิทธิฯ


เราเรียกร้องต่อสาธารณะและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง:


ยุติการคุกคามและการใช้ Hate Speech: ขอให้สื่อและผู้ใช้สื่อทุกแขนง ยุติการใช้ถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชังและการโจมตีที่ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต่อคุณอังคณา นีละไพจิตร และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทุกคนและขอให้รัฐบาลและหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ ดำเนินการเพื่อยุติการกระทำดังกล่าว


เคารพสิทธิในการแสดงความคิดเห็น: รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องให้ความคุ้มครองและเคารพสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกและการทำงานของคุณอังคณา ในฐานะนักปกป้องสิทธิฯ


มุ่งเน้นความจริงและความยุติธรรม: ขอให้สังคมหันมาพิจารณาข้อเท็จจริงและหลักการสิทธิมนุษยชนที่เป็นสากล เพื่อร่วมกันสร้างวัฒนธรรมที่ให้คุณค่าแก่ความยุติธรรม สันติภาพ และการอยู่ร่วมกันภายใต้ความแตกต่างอย่างเข้าใจ


ขอให้สื่อมวลชนทุกแขนงยึดมั่นในหลักการและจริยธรรมแห่งวิชาชีพอย่างเคร่งครัด นำเสนอข่าวด้วยความถูกต้องเป็นกลาง ละเว้นการเสนอข่าวสารหรือวิพากษ์วิจารณ์โดยอคติ และต้องตระหนักว่าตนเองมีส่วนรับผิดชอบในการสร้างบรรยากาศทางสังคม และต้องไม่เป็นเครื่องมือในการทำลายเกียรติภูมิและสิทธิ เสรีภาพของคุณอังคณา นักสิทธิมนุษยชนหรือประชาชนทั่วไปที่ใช้สิทธิเสรีภาพแสดงความเห็นโดยสุจริตใจ


เราขอยืนยันว่าการแสดงความคิดเห็นและตั้งคำถามต่อการทำงานของรัฐและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาไทย-กัมพูชาดังกล่าว เป็นสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ที่ประชาชนทุกคนในรัฐพึงกระทำได้ ไม่จำกัดเฉพาะคุณอังคณา นีละไพจิตร หรือนักปกป้องสิทธิฯ เท่านั้น ดังนั้นการข่มขู่คุกคาม และการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่เกิดขึ้นกับคุณอังคณา จึงเป็นสิ่งที่มิควรเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาดในสังคมที่มีอารยะ


รายชื่อองค์กรและเครือข่ายด้านสิทธิมนุษยชน


1. สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)


2. มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF)


3. มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา


4. สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.)


5. เครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ (MovED)


6. ภาคีเซฟบางกลอย


7. เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ JASAD


8. กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย


9. ThumbRights


10. Milk Tea Alliance Thailand


11. โมกหลวงริมน้ำ


12. สหภาพคนทำงาน


13. สมาคมลาหู่เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต


14. องค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี HAP


15. กลุ่มอิสระล้อการเมืองแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


16. นิติวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


17. มูลนิธิสันติภาพและวัฒนธรรม


18. มูลนิธิวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย


19. สมาคมด้วยใจเพื่อการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม


20. Odhikar


21. กลุ่มยืนหยุดทรราช เชียงใหม่


22. พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ


23. สมยศ พฤกษาเกษมสุข


24. ประกายดาว พฤกษาเกษมสุข


25. กัญญา ธีรวุฒิ


26. ก่อการ บุปผาวัฏฏ์


27. ปราณี ด่านวัฒนานุสรณ์


28. พิณนภา พฤกษาพรรณ


29. สีละ จะแฮ


30. สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์


31. นูรฮายาตี สาเมาะ


32. ภัควดี วีระภาสพงษ์


32. บุตรีรัตน์ สุริยะเสถียร


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

#อังคณานีละไพจิตร #สิทธิมนุษยชน

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2568

พรรคประชาชนดันกฎหมายป้องกันฟ้องปิดปาก รอสภาเปิดรับฟังความเห็น “ชลธิชา” เผยสถิติตั้งแต่รัฐประหาร 57 ไทยยืนหนึ่งอาเซียน ฟ้องปิดปากผู้หญิง-นักสิทธิฯ กระทบเสรีภาพประชาชน

 


พรรคประชาชนดันกฎหมายป้องกันฟ้องปิดปาก รอสภาเปิดรับฟังความเห็น “ชลธิชา” เผยสถิติตั้งแต่รัฐประหาร 57 ไทยยืนหนึ่งอาเซียน ฟ้องปิดปากผู้หญิง-นักสิทธิฯ กระทบเสรีภาพประชาชน


วันที่ 17 ตุลาคม 2568 ที่รัฐสภา คณะทำงานภายใต้คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ได้จัดเสวนาหัวข้อ “กฎหมาย Anti-SLAPP กับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล : อนาคต ความหวัง และเสรีภาพในการแสดงออก” เพื่อผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบายในการปรับปรุงและพัฒนากฎหมายป้องกันการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณะ หรือ “กฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก” ให้เป็นกลไกสำคัญในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ


ช่วงหนึ่ง ชลธิชา แจ้งเร็ว สส.ปทุมธานี เขต 3 พรรคประชาชน ในฐานะคณะทำงานฯ ได้นำเสนอความคืบหน้าของการผลักดันกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก โดยกล่าวว่า ร่างกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก (Anti SLAPPs) เป็นกลไกทางกฎหมายที่สำคัญในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชนที่ต้องได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ รวมถึงเป็นการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วม ตั้งคำถาม ตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์ หรือแสดงความเห็นต่อเรื่องสาธารณะ 


ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายของการฟ้องปิดปากจำนวนมาก ทั้งประชาชนทั่วไป นักกิจกรรม นักข่าว นักปกป้องสิทธิมนุษยชน รวมไปถึง สส. โดยการฟ้องปิดปากดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสร้างภาระแก่จำเลยให้เกิดความยุ่งยาก เสียค่าใช้จ่าย เสียเวลา สร้างบรรยากาศของความหวาดกลัวในการแสดงความคิดเห็น แม้ว่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต โดยไม่ได้มุ่งเน้นที่การแสวงหาความยุติธรรมแต่อย่างใด 


ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นและเข้าข่ายเป็นการฟ้องปิดปากอย่างชัดเจน เช่น บริษัทผลิตอาหารขนาดใหญ่ ฟ้องร้องเลขาธิการมูลนิธิชีววิถี (BioThai) ฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กรณีการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ, กรณีที่บริษัทโทรคมนาคมขนาดใหญ่ ฟ้องคุณพิรงรอง รามสูต อดีตกรรมการ กสทช. ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, กรณีสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกฯ และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคนปัจจุบัน ฟ้องร้อง สหัสวัต คุ้มคง และ รักชนก ศรีนอก สส.พรรคประชาชน หลังให้ข้อมูลกรณีการเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องกรณีสำนักงานประกันสังคมซื้อตึกมูลค่ากว่า 7 พันล้านบาท หรือกรณีกลุ่มทุนพลังงานใหญ่ฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาฐานหมิ่นประมาทและเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง กับ สส.พรรคประชาชน 3 ราย รวมกัน 300 ล้านบาท จากกรณีการอภิปรายตั้งข้อสังเกตถึงความไม่เป็นธรรมและความไม่โปร่งใสในการซื้อพลังงานไฟฟ้าของรัฐบาลจากกลุ่มทุนดังกล่าว 


จากรายงานของ Protection International พบว่า ประเทศไทยตั้งแต่หลังรัฐประหาร2557 ถึง กุมภาพันธ์ 2568 มีผู้หญิงและนักสิทธิมนุษยชนถูกฟ้องปิดปากทั้งหมด 595 คดี จาก 13 ฐานความผิด ซึ่งถือว่ามากที่สุดในอาเซียนอีกด้วย


ชลธิชากล่าวว่า กฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากของพรรคประชาชน ซึ่งเสนอโดยตนและ อนุสรณ์ แก้ววิเชียร สส.นนทบุรี เขต 3 ประกอบด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย 4 ฉบับ ได้แก่ ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยมีสาระสำคัญดังนี้


(1) เพิ่มบทนิยาม "การมีส่วนร่วมเพื่อประโยชน์สาธารณะ" ให้หมายความรวมถึง การเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างหนึ่งอย่างใดในกระบวนการตัดสินใจ หรือการดำเนินกิจการหนึ่งกิจการใดที่มีประโยชน์แก่ส่วนรวม หรือประโยชน์อันเกิดแก่การจัดทำบริการสาธารณะ หรือการจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือประโยชน์อื่นใดที่เกิดจากการดำเนินการ หรือการกระทำที่มีลักษณะเป็นการส่งเสริมหรือสนับสนุนแก่ประชาชนเป็นส่วนรวม หรือประชาชนส่วนรวมจะได้รับประโยชน์จากการดำเนินการหรือการกระทำนั้น


(2) ยกเลิกโทษจำคุกฐานหมิ่นประมาทและฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า หรือด้วยการโฆษณา เปลี่ยนเป็นโทษปรับทางพินัย ความผิดฐานหมิ่นประมาท ปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท ความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา ปรับเป็นพินัยไม่เกิน 5,000 บาท


(3) เพิ่มเหตุยกเว้นความผิดฐานหมิ่นประมาท กรณีแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต ในการมีส่วนร่วมเพื่อประโยชน์สาธารณะ และหากพิสูจน์ได้ว่าข้อความที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นการหมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง จะถือว่าไม่มีความผิด อย่างไรก็ตาม ห้ามไม่ให้พิสูจน์หากเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัวและการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน


(4) จำเลยในคดีอาญาสามารถแถลงต่อศาลว่าถูกฟ้องคดีเพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมเพื่อประโยชน์สาธารณะ และขอให้ศาลยกฟ้องคดีได้ ภายใน 30 วันนับจากวันที่ศาลรับคําแถลง รวมทั้งกำหนดกระบวนการไต่สวนและการสั่งคดี ส่วนจำเลยในคดีแพ่ง สามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยกฟ้องคดีได้ภายใน 15 วันนับจากวันที่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง และกำหนดให้ชะลอกระบวนพิจารณาคดีทั้งหมดระหว่างการพิจารณาคำร้อง และศาลมีอำนาจสั่งให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย รวมถึงค่าสินไหมทดแทน เพื่อการลงโทษได้


(5) ในคดีอาญาที่ประชาชนยื่นฟ้องต่อศาลเอง หากต่อมาปรากฏความจริงว่าเป็นการฟ้องคดีเพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมเพื่อประโยชน์สาธารณะ ศาลอาจกำหนดให้คนที่ฟ้อง (โจทก์) ต้องรับผิดชอบจ่ายค่าใช้จ่ายในการสู้คดีให้จำเลย และจ่ายค่าสินไหมทดแทนเพื่อเป็นการลงโทษได้ 


(6) กำหนดกลไกป้องกันในชั้นพนักงานสอบสวน ให้พนักงานสอบสวนเร่งรวบรวมพยานหลักฐาน และกำหนดข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับการร้องทุกข์หรือกล่าวโทษในหลายท้องที่หรือในท้องที่ที่ไม่เกี่ยวข้อง


(7) ให้อำนาจพนักงานอัยการในการยุติคดีที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมเพื่อประโยชน์สาธารณะ และให้ความคุ้มครองการสั่งคดีโดยสุจริต แม้ว่าจะยุติคดีหรือดำเนินคดีต่อไป


(8) ยกเว้นความรับผิดทางแพ่ง กรณีการเผยแพร่ข้อมูลโดยไม่รู้ว่าเป็นความเท็จ และการเผยแพร่นั้นเป็นเรื่องประโยชน์สาธารณะ หากได้ใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอตามภาวะวิสัย​และพฤติการณ์แล้ว ไม่มีความผิดทางแพ่ง


ชลธิชากล่าวว่า ขณะนี้ร่างกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากของพรรคประชาชน ยื่นเข้าสภาเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างรอสภาเปิดรับฟังความเห็นตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ เมื่อรับฟังความเห็นเสร็จแล้วจึงเข้าคิวบรรจุวาระเพื่อพิจารณาในสภาฯ ต่อไป


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กรรมาธิการพัฒนาการเมือง #หยุดฟ้องปิดปาก