วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ศาลอาญาพิพากษา #ยกฟ้อง คดีชุมนุมของประชาชน 5 ราย ในข้อหา ม.140, 138, 215 วรรคสอง, 216 และ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ จากกรณีชุมนุมใน #ม็อบ20มีนา64 บริเวณแยกคอกวัว


ศาลอาญาพิพากษา #ยกฟ้อง คดีชุมนุมของประชาชน 5 ราย ในข้อหา ม.140, 138, 215 วรรคสอง, 216 และ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ จากกรณีชุมนุมใน #ม็อบ20มีนา64 บริเวณแยกคอกวัว


วันที่ 28 ตุลาคม 2568 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน #TLHR ได้รายงานว่า


ศาลพิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา ในคดีการชุมนุมของประชาชน 5 ราย ในข้อหา ม.140, 138, 215 วรรคสอง, 216 และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2564 โดยกลุ่ม REDEM และแนวร่วมกลุ่มอื่นๆ  เช่น #เยาวชนปลดแอก, #นักเรียนไท, #แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม, #ศิลปะปลดแอก #กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย และ #คณะราษสเก็ต นัดหมายชุมนุม เวลา 18.00 น. ถึง 21.00 น. ที่ท้องสนามราษฎร์ (สนามหลวง) โดยมีเป้าหมายเชิงสัญลักษณ์ ส่งสาส์นเรียกร้องให้มีการจำกัดอำนาจกษัตริย์และลงมาอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ นั้น


ศาลเชื่อว่า เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ชุมนุมเกิดจากผู้ชุมนุมบางกลุ่ม แต่โจทก์ไม่ได้นำพยานหลักฐานมาชี้ว่า จำเลยทั้งห้าร่วมก่อความไม่สงบตามฟ้องอย่างไร


อีกทั้งแม้จะมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแต่การชุมนุมโดยสงบเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ และโจทก์ไม่ได้แสดงการชุมนุมเสี่ยงต่อการแพร่เชื้ออย่างไร จึงไม่ผิดข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

‘พริษฐ์’ จี้ "รัฐบาล" เร่งแก้ปัญหาสแกมเมอร์ ย้ำเงื่อนไข MOA ยุบสภา ควบคู่แก้ รธน.-ทำประชามติ เชื่อ ปชช.ไม่อยากเห็นการยุบสภาเป็นอาวุธหนีการตรวจสอบ เผยหลัง พ.ร.บ.ประชามติมีผลใช้บังคับเป็นสัญญาณบวก ย้ำเดินตามกรอบเดิม ยุบสภาภายใน 31 ม.ค.69 ยันร่างแก้ รธน.ไม่ขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ กมธ. เร่งหาฉันทามติรูปแบบ ส.ส.ร.จากทุกพรรค

 


พริษฐ์’ จี้ "รัฐบาล" เร่งแก้ปัญหาสแกมเมอร์ ย้ำเงื่อนไข MOA ยุบสภา ควบคู่แก้ รธน.-ทำประชามติ เชื่อ ปชช.ไม่อยากเห็นการยุบสภาเป็นอาวุธหนีการตรวจสอบ เผยหลัง พ.ร.บ.ประชามติมีผลใช้บังคับเป็นสัญญาณบวก ย้ำเดินตามกรอบเดิม ยุบสภาภายใน 31 ม.ค.69 ยันร่างแก้ รธน.ไม่ขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ กมธ. เร่งหาฉันทามติรูปแบบ ส.ส.ร.จากทุกพรรค


วันที่ 28 ตุลาคม 2568 เวลา 09.00 น. ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ของรัฐบาลในขณะนี้ ว่า เรื่องนี้เป็นวาระเร่งด่วนของรัฐบาล ซึ่งเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ตนเพิ่งกลับมาจากประเทศสิงคโปร์ และได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการทำเรื่องนี้ เพื่อความเข้าใจและแลกเปลี่ยนความรู้กัน ซึ่งปัญหานี้ไม่ได้กระทบแค่คนไทย แต่กระทบต่อคนทั่วโลก ดังนั้น สิ่งที่อยากเห็นตอนนี้คือคือรัฐบาลทำงานเชิงรุกมากขึ้นในการแก้ปัญหาเรื่องสแกมเมอร์


นายพริษฐ์ กล่าว่า หากรัฐบาลเอาจริงเรื่องนี้จะเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นก 3 ตัว คือ 1.เป็นการแก้ปัญหาที่กระทบต่อความปลอดภัยในทรัพย์สิน และชีวิตของประชาชนทั่วโลก 2.ถ้าเชื่อว่าแหล่งที่มาหรือรายได้ของผู้มีอิทธิพลของกัมพูชาบางส่วนมาจากสแกมเมอร์นั้น แล้วเราสามารถแก้ไขได้ จะถือว่าเป็นการทะลายแหล่งที่มารายได้ของผู้นำกัมพูชา และทำให้การหาข้อยุติข้อพิพาทบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และ 3.หากไทยลุกขึ้นมาชิงบทบาทในการทำเรื่องนี้ เราจะมีบทบาทและอิทธิพลในเวทีโลก ซึ่งเรื่องสแกมเมอร์เป็นอันดับต้นๆ ที่ทุกประเทศให้ความสำคัญ จะเป็นโอกาสดีที่เราจะเชิญชวนประเทศมหาอำนาจของโลกมาร่วมกันหารือ และดำเนินการเรื่องนี้ร่วมกัน


เมื่อถามว่า สถานการณ์การเมืองปัจจุบันเชื่อว่าจะไม่มีการยุบสภาฯ ในปลายปีนี้ใช่หรือไม่ เพราะมีการเตรียมยื่นซักฟอกของพรรคเพื่อไทย นายพริษฐ์ กล่าวว่า เงื่อนไขการยุบสภาฯ 31 มกราคม และเป็นการยุบสภาฯ ควบคู่กับการทำประชามติเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ คือเป้าหมายที่เราจะมุ่งหน้าไปสู่ และคิดว่าประชาชนก็คงไม่อยากเห็นการใช้อาวุธเรื่องยุบสภาฯ เป็นเครื่องมือในการหนีการตรวจสอบ ดังนั้น พรรคประชาชนในฐานะฝ่ายค้าน ในมุมหนึ่งก็อยากจะเดินหน้าทุกอย่างเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย MOA แต่อีกมุมหนึ่งก็ไม่ละเว้นหน้าที่ในการตรวจสอบรัฐบาลเช่นกัน


เมื่อถามว่า หากมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจจริง การลงมติจะออกมาในรูปแบบใด นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนมองว่าต้องดูสาเหตุ ซึ่งเนื้อหาในการยื่นขออย่าไปจำกัดแค่พรรคใดพรรคหนึ่ง พรรคประชาชนในฐานะฝ่ายค้านก็มีสิทธิ์เช่นกัน แต่เราก็ต้องทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายค้านให้สมดุล เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายให้มีการเลือกตั้งพร้อมการทำประชามติควบคู่กับกลไกการตรวจสอบ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ภาษีของประชาชน


เมื่อถามว่าพรรคประชาชนจะยื่นซักฟอกหรือไม่นั้น ตนยืนยันว่าเราจะใช้ทุกกลไกในการตรวจสอบ แต่ก็ต้องดูสาเหตุหรือการกระทำของรัฐบาลว่าเหมาะสมที่จะใช้กลไกใดในการตรวจสอบ


นายพริษฐ์ ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ยังให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการทำประชามติและการยุบสภาว่า หลังจากพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประชามติ มีผลบังคับใช้ ถือเป็นสัญญาณบวกที่ทำให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่า กระบวนการเดินหน้าตามกรอบเวลาในบันทึกความเข้าใจ (MOA) จะเป็นไปได้ตามแผน โดยต้องยุบสภาภายในวันที่ 31 มกราคม 2569 เพื่อจัดทำประชามติและเลือกตั้งทั่วไป


นายพริษฐ์ กล่าวว่า ขณะนี้ กมธ. อยู่ระหว่างเร่งหารือเพื่อสรุป โมเดลการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย พร้อมย้ำว่าทุกร่างต้องอยู่ในกรอบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แม้แต่ละพรรคอาจมีแนวทางต่างกัน แต่เป้าหมายคือการสร้างฉันทามติในสภา เพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านวาระ 3 ได้จริง


สิ่งสำคัญคือ ต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา รวมถึงเสียง 20% ของฝ่ายค้าน และ 1 ใน 3 ของวุฒิสภา เพราะฉะนั้น เราจำเป็นต้องออกแบบกระบวนการที่ทุกฝ่ายยอมรับได้” นายพริษฐ์ กล่าว พร้อมเผยว่า หาก กมธ. สรุปได้เร็ว อาจเสนอเปิดประชุมสมัยวิสามัญก่อน 12 ธันวาคม เพื่อพิจารณาวาระ 2 และ 3


ในส่วนของ การทำประชามติพร้อมการเลือกตั้ง นายพริษฐ์แสดงความกังวลว่า อาจเกิดอุปสรรคด้านการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน โดยเฉพาะการออกเสียงล่วงหน้า พ.ร.บ.ประชามติฉบับใหม่ไม่ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่าจะสามารถทำประชามติล่วงหน้าในประเทศได้หรือไม่ ดังนั้น กมธ. จะเชิญคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มาหารือ เพื่อกำหนดแนวทางที่ชัดเจน อาจใช้ระบบลงคะแนนทางไปรษณีย์ควบคู่กับการเลือกตั้งล่วงหน้า เพื่อให้ประชาชนสามารถลงคะแนนเลือกตั้งและออกเสียงประชามติในครั้งเดียวกันได้


นายพริษฐ์ ยืนยันว่า ขั้นตอนที่ดำเนินอยู่ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากคำวินิจฉัยระบุไว้ชัดว่า ประชามติสามารถทำได้ 3 ครั้ง แต่ครั้งที่ 1 และ 2 อาจรวมกันได้ ซึ่งรัฐสภาและรัฐบาลก็เห็นพ้องกันในแนวทางนี้ เป้าหมายของกระบวนการทั้งหมดไม่ใช่เพียง ทำให้เร็วแต่ต้อง ทำให้รอบคอบและเป็นฉันทามติเพื่อให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เกิดขึ้นภายใต้การมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย และได้รับความเห็นชอบจากประชาชนอย่างแท้จริง

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #แก้ไขรัฐธรรมนูญ #ประชามติ

ศาลอาญา สั่งจำคุก "ใบปอ" 3 ปี ผิด ม.112 กรณีทำโพลคำถามเรื่องการใช้อำนาจตามพระราชอัธยาศัย เมื่อปี 65 ศาลเห็นเป็นนักศึกษาทำประโยชน์ให้สังคม ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ทนายยื่น 1 แสนประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ รอผล

 


ศาลอาญา สั่งจำคุก "ใบปอ" 3 ปี ผิด ม.112 กรณีทำโพลคำถามเรื่องการใช้อำนาจตามพระราชอัธยาศัย เมื่อปี 65 ศาลเห็นเป็นนักศึกษาทำประโยชน์ให้สังคม ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ทนายยื่น 1 แสนประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ รอผล


วันที่ 28 ต.ค. 68 เวลา 9.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 802 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดูหมิ่นสถาบัน หมายเลขดำ อ.1788/65 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ฟ้อง ใบปอ- ณัฐนิช, น.ส.สุพิชฌาย์ ชัยลอม หรือเมนู (หลบหนี) และน.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง (เสียชีวิต) แกนนำกลุ่มทะลุวัง เป็นจำเลยที่ 1-3 ตามลำดับในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ


จากกรณี เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2565 พวกจำเลยร่วมกันทำโพลสอบถามความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับการใช้อำนาจของสถาบัน ที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าหมอชิตจนถึงสนามเป้า ถนนพหลโยธิน กทม. จำเลยให้การปฏิเสธและได้รับการประกันตัว โดยในวันนี้มีเพียง น.ส.ณัฐนิช เพียงคนเดียวที่เดินทางเข้ามาฟังคำพิพากษา และกลุ่มผู้สนับสนุนเดินทางมาให้กำลังใจ


ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างแล้ว ฝ่ายพยานโจทก์มีเจ้าพนักงานตำรวจสืบสวนจากหลายพื้นที่ในความรับผิดชอบ 7 ปากเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า แม้จะไม่ทราบว่าใครเป็นผู้โพสต์ข้อความเชิญชวนในเพจทะลุวังให้ประชาชนออกมาร่วมชุมนุมและแสดงความคิดเห็นตามสถานีรถไฟฟ้าเกี่ยวกับอำนาจของสถาบัน


ส่วนที่จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ใช่ผู้ดูแลเพจดังกล่าวและโพสต์ข้อความ แต่ยอมรับว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับพวกที่เดินทางไปทำกิจกรรมและสอบถามความคิดเห็นของประชาชนกับกลุ่มทะลุวัง โดยมีสติกเกอร์แจกให้กับประชาชนที่มาร่วมกิจกรรมนำไปติดใต้ข้อความ 'เห็นด้วย' หรือ 'ไม่เห็นด้วย' เกี่ยวกับการใช้อำนาจของสถาบัน การกระทำของจำเลยมีเจตนาเพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมกับกิจกรรมซึ่งย่อมเล็งเห็นผลว่าผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะตั้งข้อสงสัยกับการใช้อำนาจ


พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้องจริง ส่วนคำเบิกความของจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ เห็นว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ประกอบมาตรา 83 ฐานดูหมิ่นสถาบัน พิพากษาจำคุกจำเลย 3 ปี แต่อย่างไรก็ตามขณะเกิดเหตุจำเลยมีอายุน้อย เป็นนักศึกษา และทำประโยชน์ช่วยเหลือสังคมโดยการสอนหนังสือให้ผู้พิการทางสายตา จิตอาสาสภากาชาดไทยและบริจาคดวงตาให้กับประชาชน เห็นสมควรลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลย 2 ปี ไม่รอลงอาญา


ภายหลังจากศาลพิพากษานายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และทนายความของจำเลยได้ยื่นคำร้องและหลักทรัพย์ 1 แสนบาท ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #มาตรา112

ศาลอาญายกฟ้องคดีของ "แดง ชินจัง" ในคดีที่เกี่ยวกับวัตถุระเบิดในชุมนุม กปปส. ปี 57 เตรียมถูกปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษ กทม.เย็นนี้

 


ศาลอาญายกฟ้องคดีของ "แดง ชินจัง" ในคดีที่เกี่ยวกับวัตถุระเบิดในชุมนุม กปปส. ปี 57 เตรียมถูกปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษ กทม.เย็นนี้


วันที่ 28 ตุลาคม 2568 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษย์ชน รายงานว่า ศาลอาญาพิพากษา #ยกฟ้อง คดีของ “แดง ชินจัง” หรือยงยุทธ (สงวนนามสกุล) ใน 2 คดีที่มีข้อหาหลักคือพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนฯ จากเหตุเกี่ยวเนื่องกับวัตถุระเบิดจากการชุมนุม กปปส. เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2557 และวันที่ 8 ก.พ. 2557


🔴 ในคดีข้อหาหลักพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนฯ ตามมาตรา 288 ประกอบ 289 จากเหตุเกี่ยวเนื่องกับวัตถุระเบิดจากการชุมนุม กปปส. เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2557


ศาลพิพากษา เห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่มีประจักษ์พยาน จำเลยถูกบังคับขู่เข็ญ ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจ โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมา สนับสนุน พยานหลักฐานมีน้ำหนักไม่มากพอ พิพากษายกฟ้อง


🔴 ในคดีข้อหาหลักพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนฯ ตามมาตรา 288 ประกอบ 289 จากเหตุเกี่ยวเนื่องกับวัตถุระเบิดจากการชุมนุม กปปส. เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2557


ศาลพิพากษา เห็นว่า พยานหลักฐานรับฟังได้ว่าจำเลยให้การโดยไม่สมัครใจ ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ทหาร อีกทั้งไม่พบอาวุธและยานพาหนะที่ใช้ก่อเหตุและหลบหนี กล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุในรัศมี 400 เมตร พบว่ากล้องวงจรปิดเสียวางตัวใช้ได้แต่ก็ไม่พบตัวคนร้าย และพยานโจทก์ที่มาเบิกความบอกเล่าข้อเท็จจริงหลังเกิดเหตุรับรู้จากเหตุการณ์โดยตรง พิพากษายกฟ้อง


เกี่ยวกับคดีนี้ จำเลยได้ถูกฟ้องในพฤติการณ์เดียวกันรวม 5 คดี และศาลอาญาได้ทยอยมีคำพิพากษาตั้งแต่วันที่ 21 ส.ค. 68 โดยวินิจฉัยไปในทำนองเดียวกัน โดยทุกคดีมีพยานหลักฐานชุดเดียวกันทั้งหมด


และมีเพียงคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวน โดยจำเลยถูกข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย และพูดจาข่มขู่ว่าจะทำอันตรายครอบครัว เพื่อให้การรับสารภาพ


ภายหลังการฟังคำพิพากษาในวันนี้ ซึ่งศาลได้พิพากษายกฟ้องทั้ง 5 คดีแล้ว ทำให้แดง ชินจังจะได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ภายในเย็นนี้

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

“วีระยุทธ” ตั้งคำถาม ไทยให้สหรัฐฯ แลกดีลภาษีเยอะไปหรือไม่ เทียบเวียดนามกับมาเลเซีย แนะร่วมมืออาเซียนต่อรอง

 


“วีระยุทธ” ตั้งคำถาม ไทยให้สหรัฐฯ แลกดีลภาษีเยอะไปหรือไม่ เทียบเวียดนามกับมาเลเซีย แนะร่วมมืออาเซียนต่อรอง


วันที่ 28 ตุลาคม 2568 วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชนและทีมเศรษฐกิจ ยก Joint Statement ที่สหรัฐฯ เซ็นกับไทย เทียบกับของเวียดนามและมาเลเซีย ฝาก 3 ประเด็นถึงรัฐบาลและทีมไทยแลนด์


1. ไทยซื้อเครื่องบิน 80 ลำ เวียดนามซื้อแค่ 50 ลำ ส่วนมาเลเซียแค่ 30 ลำ


สหรัฐฯ บีบให้ทั้ง 3 ประเทศต้องซื้อเครื่องบินเหมือนกัน แต่จำนวนที่ระบุไว้กลับต่างกัน โดยไทยเราเสนอซื้อเครื่องบินเยอะสุด จำนวน 80 ลำ รวมมูลค่า 18,800 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 600,000 ล้านบาท ส่วนเวียดนามตกลงไว้เพียง 50 ลำ ด้วยตัวเลข 8,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ของมาเลเซียน้อยสุด คือเพียง 30 ลำ แต่ก็มีแปะไว้ว่า “อาจจะ” มีเพิ่มอีกเท่าตัวได้


อย่างไรก็ดี ถ้ารวมตัวเลขที่เสนอให้สหรัฐฯ ไว้ ของมาเลเซียจะสูงสุด เพราะบอกไว้ว่าจะซื้อ (1) เซมิคอนดักเตอร์ (2) ส่วนประกอบอากาศยาน และ (3) อุปกรณ์สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ทั้งหมดรวมกันถึง 150,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4.9 ล้านล้านบาท แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นกลุ่มอุปกรณ์ไฮเทค ที่เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ Silicon Valley of the East ของมาเลเซีย


ส่วนของไทย นอกจากเครื่องบินแล้ว ก็ระบุว่าจะซื้อพลังงานอีก 5,400 ล้านดอลลาร์ต่อปี และกลุ่มข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กับกากถั่วเหลืองอีก 2,600 ล้านดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่เวียดนาม นอกจากข้อความในแถลงการณ์จะคลุมเครือที่สุดแล้ว ก็ยังใส่ตัวเลขผูกมัดต่ำสุด เพิ่มจากเครื่องบิน 50 ลำ ก็บอกแค่ว่าจะซื้อ “สินค้าเกษตร” แบบกว้างๆ ไว้ ไม่ลงรายละเอียดอีกรวม 2,900 ล้านดอลลาร์


2. ไทยต้องยกเลิกรางวัลนำจับศุลกากร แล้วยังไปยอม Rare Earth ทั้งที่ไม่มีในแถลงการณ์ร่วม


จุดแตกต่างอีกประการคือ ไทยระบุเรื่องการทลายกำแพงภาษีไว้ชัดเจน ว่าจะยกให้สหรัฐฯ 99% ของรายการทั้งหมด ครอบคลุมทั้งสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตร ในขณะที่เวียดนามกับมาเลเซียเขียนแบบกว้างๆ ไว้ว่า จะยอมเปิดสิทธิพิเศษในการเข้าถึงตลาด หรือ“preferential market access” ให้กับสหรัฐฯ โดยไม่ระบุตัวเลขสัดส่วน 


นอกจากนี้ แต่ละประเทศก็มีจุดโฟกัสที่สหรัฐฯ เพ่งเล็งไม่เหมือนกัน ตอนนี้สหรัฐฯ มียุทธศาสตร์ด้าน Rare earth หรือแร่หายาก จึงใส่ไว้ในแถลงการณ์กับมาเลเซีย ย้ำให้เปิดเสรีการซื้อและการผลิตให้สหรัฐฯ ส่วนของไทยไม่มีเรื่องนี้ใน Joint Statement แต่กลับไปเกิดในช่องทาง MOU ฉบับเฉพาะกิจเรื่องแร่หายากที่นายกรัฐมนตรีเราเพิ่งลงนามไปที่กรุงกัวลาลัมเปอร์


ที่ต่างจากประเทศอื่นอีกข้อคือ แถลงการณ์ร่วมเขียนไว้ชัดเจนว่าให้ไทยยกเลิกระบบ “การจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำจับ” ของกรมศุลกากรที่ทำมายาวนาน เรื่องนี้ต้องติดตามต่อ และต้องเตรียมประเมินผลทั้งทางบวกทางลบต่อประเทศและกลไกราชการไว้ล่วงหน้า


3. ไทยยอมเปิดให้ถ่ายโอน “ข้อมูลดิจิทัล” แบบเสรี แต่มาเลเซียมีการคุ้มครอง


ธุรกิจดิจิทัลเป็นอีกเรื่องที่ทั้งไทย เวียดนาม และมาเลเซีย โดนบีบให้ละเว้น ไม่เก็บภาษีหรือดำเนินมาตรการต่อบริการด้านดิจิทัลของสหรัฐฯ เหมือนกัน แต่ที่สะดุดตาคือเรื่องการ “ถ่ายโอนข้อมูลข้ามพรมแดน” ซึ่งในแถลงการณ์ของไทย เรายอมเปิดให้มีการถ่ายโอนข้อมูล “โดยเสรี” เพื่อประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจของสหรัฐฯ


แต่เรื่องเดียวกันนี้ในแถลงการณ์ของมาเลเซียกลับตัดคำว่า “free” หรือ “โดยเสรี” ออก แต่ย้ำว่าต้องมี “การคุ้มครองที่เหมาะสม” จึงแสดงถึงรายละเอียดที่มาเลเซียตั้งใจใส่ไว้ เพื่อให้มีอำนาจและดุลยพินิจจัดการการถ่ายโอนข้อมูลดิจิทัลในอนาคต


วีระยุทธกล่าวต่อว่า แต่ถึงที่สุดแล้ว ประกาศที่ออกมานี้ยังมีสถานะเป็นเพียง “แถลงการณ์ร่วม” ที่ไม่มีข้อผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ สิ่งที่อยากชวนรัฐบาลและทีมไทยแลนด์พิจารณาต่อคือ เมื่อต้องเดินหน้าต่อเพื่อหาข้อสรุปขั้นต่อไป ขอให้เราดูบทเรียนจากเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและเวียดนามด้วย เพื่อประเมินว่าสิ่งที่เราต้องนำไปแลกนั้น “คุ้ม” กับอัตราภาษีที่ลดลง และเป็นธรรมกับผู้ที่ต้องรับผลกระทบของการเจรจาแค่ไหน ภายใต้มุมมองเปรียบเทียบกับไพ่ของประเทศอื่น


และจะยิ่งดีขึ้นอีก หากเราสามารถจับมือประเทศเพื่อนบ้านเพื่อต่อรองกับสหรัฐฯ ไปด้วยกัน อย่างน้อยๆ ก็ร่วมกันขีดเส้นไม่ให้ใครต้องแลกอะไรเกินตัว พลิกเกมจากที่สหรัฐฯ พยายามเจรจาแยกรายตัวมาตลอด ให้กลายเป็นเกมที่พันธมิตรอาเซียนจับมือกันยืนประจันหน้ายักษ์


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2568

จม.จากเรือนจำ“อานนท์” เขียนถึง เพลง “กำลังใจ” ..เพิ่มพลังใจ ให้ฉันได้เริ่ม ต่อสู้อีกครั้ง บนหนทางไกล…” บอกเคยฟัง ร้องได้ตั้งแต่เด็ก ๆ แต่พอกลับมาฟังใน “คุก” มันกลับทำให้น้ำตาซึมอย่างไม่รู้ตัว

 


จม.จากเรือนจำ“อานนท์” เขียนถึง เพลง “กำลังใจ” ..เพิ่มพลังใจ ให้ฉันได้เริ่ม ต่อสู้อีกครั้ง บนหนทางไกล…” บอกเคยฟัง ร้องได้ตั้งแต่เด็ก ๆ แต่พอกลับมาฟังใน “คุก” มันกลับทำให้น้ำตาซึมอย่างไม่รู้ตัว


วันนี้ (27 ต.ค. 68) เพจอานนท์ นำภา โพสข้อความจดหมายฉบับวันที่ 24 ต.ค. 68 ใจความว่า


“ในยามที่ท้อแท้ ขอเพียงแค่คนหนึ่ง จะคิดถึงและคอยห่วงใย ในยามที่ชีวิต หม่นหมองร้องไห้ ขอเพียงมีใครปลอบใจสักคน…”


ทำไมเพลงที่ถ้อยคำไม่ยากอะไร ไม่สูงอะไร โคตรจะธรรมดาสามัญ ทำนองง่าย ๆ คอร์สง่าย ๆ แต่พอได้ยินในที่แห่งนี้ มันจึงมีความหมายอย่างนี้ ไพเราะได้ถึงเพียงนี้ ผมไม่แน่ใจว่า “วงโฮป” เขียนเพลงนี้ในบริบทอะไร ซึ่งเอาเข้าจริงเพลง “กำลังใจ” เราก็เคยฟังมาตั้งแต่เด็กๆ ร้องได้ตั้งแต่เด็กๆ แต่พอกลับมาฟังใน “คุก” มันกลับทำให้น้ำตาซึมอย่างไม่รู้ตัว


“ในวันที่โลกร้าง- ความหวังให้วาด มันขาดมันหายใครจะช่วยเติม เพิ่มพลังใจ ให้ฉันได้เริ่ม ต่อสู้อีกครั้ง บนหนทางไกล…”


“หนทางไกล” มันช่างเป็นหนทางที่ยาวไกล


ในทุกๆเช้าพี่สุเทพ จะเข้ามากดไลค์รูปเจ้าปราณเจ้าขาลในเฟซบุ๊ก เป็นมิตรสหายทางเฟซบุ๊ก เป็นหนึ่งในศิลปินเพื่อชีวิตที่เหลืออยู่ไม่กี่คนที่ยืนข้างคนรุ่นใหม่ ถึงตอนนี้เชื่อว่าพี่สุเทพก็ยังคงเป็นกำลังใจให้การต่อสู้ของพวกเราบนสรวงสวรรค์ คอยเป็น “ดั่งหยาดฝน บนฟากฟ้าไกล ที่หยาดรินสู่พื้นดินแห้งผาก”


แด่พี่สุเทพ วงโฮป

อานนท์ นำภา

24 ต.ค. 68


สำหรับอานนท์ นำภา ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน 2566 จนถึงปัจจุบันอานนท์ยังถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ด้วยโทษจำคุกในคดีมาตรา 112 และคดีต่าง ๆ ที่ยังไม่สิ้นสุดรวมกันถึง 26 ปี 77 เดือน 20 วัน หรือประมาณ 29 ปี 1 เดือนเศษ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อานนท์นำภา #มาตรา112

“นันทนา” แถลงเปิดโปงเกมอำนาจในวุฒิสภา ระบุถูก สว. เสียงข้างมากใช้ช่องทางจริยธรรม “กลั่นแกล้ง-ปิดปาก” หลังวิจารณ์การแต่งตั้งกรรมาธิการ กล่าวถึงสว. ตามอาชีพเดิมว่า "คนขายหมู" อ้างเจ้าตัวยืนยันว่าไม่ผิดจริยธรรม เล็งส่ง ป.ป.ช. ตรวจสอบ “สว.ฝ่ายอิสระ” ชี้การกระทำนี้เป็นอันตรายต่อประชาธิปไตย เพราะ “พวกมากลากไป” กำลังใช้จริยธรรมจัดการฝ่ายตรงข้าม

 


นันทนา” แถลงเปิดโปงเกมอำนาจในวุฒิสภา ระบุถูก สว. เสียงข้างมากใช้ช่องทางจริยธรรม “กลั่นแกล้ง-ปิดปาก” หลังวิจารณ์การแต่งตั้งกรรมาธิการ กล่าวถึงสว. ตามอาชีพเดิมว่า "คนขายหมู" อ้างเจ้าตัวยืนยันว่าไม่ผิดจริยธรรม เล็งส่ง ป.ป.ช. ตรวจสอบ “สว.ฝ่ายอิสระ” ชี้การกระทำนี้เป็นอันตรายต่อประชาธิปไตย เพราะ “พวกมากลากไป” กำลังใช้จริยธรรมจัดการฝ่ายตรงข้าม


วันที่ 27 ตุลาคม 2568 ที่รัฐสภา น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. แถลงถึงกรณีในที่ประชุมวุฒิสภาในวันพรุ่งนี้ (28 ต.ค.)จะมีการพิจารณารายงานผลการพิจารณาข้อร้องเรียนจริยธรรมน.ส.นันทนา ของคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา ว่า ตนในฐานะ สว. ที่ถูกฟ้องปิดปากในวุฒิสภา มีกำลังใจต่อสู้ เปิดโปงความไม่ชอบมาพากลและความฉ้อฉลทั้งหมดในวุฒิสภาเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด วันนี้กลุ่มสว.อิสระจึงมาแสดงพลังเพื่อต่อต้านการฟ้องปิดปากในวุฒิสภา เนื่องจากมีผู้มาร้องต่อคณะกรรมการจริยธรรมว่าตนมีพฤติกรรมเสียดสีด้อยค่า สว. ท่านหนึ่งโดยการให้สัมภาษณ์ว่า ตนถูกโหวตออกจากกรรมาธิการพัฒนาการเมืองโดยได้คนขายหมูเข้ามาเป็นกรรมาธิการจึงขอฟ้องประชาชนว่า กระบวนการคัดสรรผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งในกรรมาธิการไม่ได้คำนึงถึงฐานประวัติกลุ่มอาชีพของผู้สมัคร สว. แต่ใช้เสียงข้างมากในการโหวต ซึ่งสิ่งที่ตนเรียกคนที่เข้ามาเป็นกรรมาธิการตามอาชีพของเขาว่าคนขายหมูนั้น เป็นการด้อยค่าตรงไหน เข้าข่ายผิดจริยธรรมตรงไหน และเรื่องนี้มีการไต่สวนในศาลอาญามาแล้ว ซึ่งทนายได้ซักค้านในศาลไปแล้ว


ทางสว. ก็บอกว่าตัวเองมีความภาคภูมิใจในอาชีพนี้ และเมื่อตนเรียกว่าคนขายหมูไปด้อยค่าหรือผิดจริยธรรมตรงไหน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า การกระทำที่วุฒิสภาโดยคณะกรรมการจริยธรรมนั้นได้พิจารณาตามหลักการที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะเพียงแค่พูดว่าคนขายหมูแล้วมีผู้มาร้องก็กล่าวหาว่าตนผิดจริยธรรม จนจะมีการลงมติให้ตนมีความผิดเพื่อนำไปให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณาต่อ”น.ส.นันทนา กล่าว


น.ส.นันทนา กล่าวต่อว่า ยังมีกรณีอื่นที่ได้ร้องเรียนเข้าไปในกรรมการจริยธรรมชุดนี้ เช่น นายอลงกต วรกี สว. ร้องไห้ล้อเลียนในสภาฯ และที่นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. อภิปรายกล่าวหาว่าตนเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำโรคจิต ก็มีผู้ไปร้องเรียนแต่ถูกยกไปอย่างรวดเร็ว แต่กรณีของตนเป็นความผิดร้ายแรง ต้องมาลงมติในวันพรุ่งนี้ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ตนไม่ยอมศิโรราบเพราะตนเองถือว่าสิ่งที่ออกมาส่งเสียงให้กับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการฮั้ว สว. เขากระโดง รวมถึงการแต่งตั้งกรรมาธิการ การกระทำต่าง ๆ เป็นผลประโยชน์ที่ ตนต้องออกมาพูด ดังนั้นการกระทำของคณะกรรมการจริยธรรมถือเป็นการฟ้องปิดปาก หากใครที่มีท่าทีกระด่างกระเดื่องก็จะโดนเชือดเหมือนที่ตนโดน เราจะปล่อยให้สมาชิกวุฒิสภา ใช้พวกมากลากไปปิดประตูตีแมวกับสว.อิสระที่คิดต่างเช่นนั้นหรือ


"คณะกรรมการจริยธรรมมี 22 คน 15 คน ผู้ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาในคดีฮั้วสว.รวมทั้งประธานกรรมการ คือ พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ ซึ่งดิฉันก็ได้ร้องคัดค้านไปว่า คณะกรรมการชุดนั้นเป็นคู่ขัดแย้งกับดิฉัน เพราะดิฉันร้องให้เขาหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้เขาหยุดพิจารณาเรื่องของดิฉันให้เหลือ 7 คน เขาก็ไม่ยอมให้เขาพิจารณาเขาก็ไม่ยอมยัง ยังคงดำเนินการต่อไป ซึ่งชัดเจนว่า พยายามที่จะใช้เสียงข้างมากในการลงมาในการลงมติ และเรื่องนี้ดิฉันได้ร้องคัดค้านไปยัง ป.ป.ช. เนื่องจากเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์โดยชัดเจน คู่ที่มีความขัดแย้งกับดิฉันกลับมาพิจารณา แต่มาพิจารณาคดีของดิฉันระหว่างสอบสวน ดิฉันก็โดนกลั่นแกล้ง พาพยานมาให้ปากคำ แต่กลับไม่ให้พยานเข้าไปให้ปากคำ นี่คือการกลั่นแกล้งหรือไม่ และมีการ เก็บโทรศัพท์บอกว่าเป็น ประชุม ลับ ไม่ยอมให้ทนายเข้าไปด้วย คดีอาชญากรเมื่อเขาให้การยังต้องมีทนาย และดิฉันเป็นอาชญากรระดับไหนทนายถึงเข้าไปไม่ได้ นี่คือการปิดหูปิดตาประชาชนเป็นการปิดประตูตีแมว " น.ส.นันทนา กล่าว


น.ส.นันทนา กล่าวว่า นี่เป็นที่มาไม่มีใครรู้เลยว่าทำไมเรื่องนี้ถึงเข้ามาอยู่ในระเบียบวาระของการประชุมวุฒิสภาในวันพรุ่งนี้ เพื่อให้ที่ประชุมลงมติว่าตนมีความผิด ถ้าใช้เสียงสว. 3 ใน 5 คือ 120 เสียงจะผ่านได้ฉลุย เพราะผู้ที่ถูกกล่าวหาในคดีหัวสว.มี 130 กว่าคน และตนจะต้องถูกเชือดส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ดำเนินการ


ด้านนายสุนทร พฤกษพิพัฒน์ สว. กล่าวว่า ตนพูดอะไรมากไม่ได้เพราะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการจริยธรรม ในหลักประชาธิปไตยเราเคารพเสียงส่วนใหญ่ แต่ควรรักษาเสียงส่วนน้อยไปด้วย ไม่ใช่ใช้เสียงส่วนใหญ่ไปกำจัดเสียงส่วนน้อย โดยเฉพาะการใช้คำว่าจริยธรรมที่กว้างมาก ซึ่งที่ผ่านมาเราก็เห็นว่าหลายคนโดนคำว่าจริยธรรม และความผิดไม่ได้สัดส่วนกับการกระทำจึงถูกตีความกว้างใหญ่ไปหมด จึงคิดว่าหากสังคมกำลังเพิกเฉยกับความอยุติธรรมแบบนี้ เราควรจะเป็นสังคมแบบที่มีความยุติธรรมที่แท้จริง เห็นถึงความถูกต้องไม่ใช่ถูกเสียงข้างมากลากไปอย่างเดียว


ส่วนน.ต.วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ สว. กล่าวว่า การดำเนินการของวุฒิสภาไม่ได้เป็นอิสระอย่างที่ควรจะเป็นแต่มีการสั่งการจากบางจุด อาจเป็นบนเขาสักแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเห็นว่าควรมีการทบทวนเรื่องจริยธรรมเพื่อไม่ให้มีการใช้เรื่องนี้มารังแกกลั่นแกล้งการเมือง ยกตอนนี้ สว.อิสระเหลือเพียง 20 คน ซึ่งน่าเป็นห่วงต่อระบอบประชาธิปไตยของไทย ส่วนตัวได้เจริญภาวนาอนุสติทุกวัน เพราะจุดจบแต่ละคนมาถึงแน่ ถึงเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่กฎแห่งกรรมต้องโดนทุกคน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่น.ส.นันทนา และสว.อิสระแถลงข่าวมีประชาชนมามอบดอกไม้เพื่อให้กำลังใจ พร้อมกล่าวว่า ในนามประชาชนที่เป็น FC และติดตามผลงานมาตลอดเห็นว่าตัวนี้น.ส.นันทนา โดนกลั่นแกล้ง ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการที่ทำเพื่อความโปร่งใสและความถูกต้องวันนี้ จึงอยากขอเป็นกำลังใจให้นางสาวนันทนาสู้ต่อไป สู้เพื่อประชาชนและเป็นสว.น้ำดีต่อไป


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

ไทย – สหรัฐฯ แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยกรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทน เพื่อยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและรักษาความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในตลาดสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อสรุปผลการเจรจาภายในสิ้นปี 2568

 


ไทย – สหรัฐฯ แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยกรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทน เพื่อยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและรักษาความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในตลาดสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อสรุปผลการเจรจาภายในสิ้นปี 2568 


เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ไทยและสหรัฐอเมริกาได้สรุปผลแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยกรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา (Joint Statement on Framework for United States–Thailand Agreement on Reciprocal Trade) ซึ่งนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศผ่านเว็ปไซต์ของทำเนียบขาว เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของทั้งสองประเทศที่จะส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า สร้างสมดุลทางการค้า และเป็นกรอบแนวทางการเจรจาความตกลงทางการค้าต่างตอบแทน ที่จะต้องเจรจาในรายละเอียดภายหลังจากนี้ โดยแถลงการณ์นี้มิได้มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่เป็นกรอบแนวทางที่ใช้ในการหารือร่วมกันต่อไป


รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ร่างแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของไทยและสหรัฐฯ ที่จะเดินหน้าเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างกัน โดยความตกลงดังกล่าวจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว โดยตั้งเป้าหมายที่จะสรุปผลการเจรจาภายในปลายปีนี้ ซึ่งตนเชื่อมั่นว่า จะช่วยส่งเสริมบรรยากาศทางธุรกิจที่ดี และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการและนักลงทุน โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่ต่างมุ่งหวังจะเห็นความสำเร็จของการเจรจา ที่จะช่วยเสริมสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของรัฐบาลที่จะต้องเร่งดำเนินการให้บรรลุผล


ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ เป็นลำดับต้น เนื่องจากตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทยและมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ ขณะนี้ รัฐบาลอยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะทำงานยุทธศาสตร์เจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา โดยมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน พร้อมผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์ในการเจรจา ให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทย


สาระสำคัญของแถลงการณ์ร่วม


* กรอบการเจรจา

เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันเพื่อสร้างกรอบการเจรจาความตกลงการค้าต่างตอบแทนในระยะยาว โดยจะครอบคลุมประเด็นต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน 


* การเจรจาในอนาคต

ความตกลงจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืน 


* การส่งเสริมการค้า

- ด้านภาษี : สหรัฐฯ จะยกเลิกมาตรการกีดกันทางภาษีสำหรับสินค้าประมาณ 99% ของสหรัฐฯ ส่วนไทยจะคงภาษีต่างตอบแทนไว้ที่อัตรา 19% สำหรับสินค้าไทย 

- ความร่วมมือ : ทั้งสองประเทศจะเสริมสร้างความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน (supply chain resilience) 

- การจัดการ : จะร่วมมือกันจัดการกับพฤติกรรมทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม และร่วมมือในการควบคุมการส่งออก ความมั่นคงด้านการลงทุน และการต่อต้านการหลบเลี่ยงภาษี 


* การซื้อขายเชิงพาณิชย์: 

สหรัฐฯ และไทยรับทราบข้อตกลงทางการค้าที่กำลังจะเกิดขึ้นในภาคเกษตรกรรม พลังงาน และการบิน ซึ่งรวมถึง

-      การซื้อสินค้าเกษตรมูลค่าประมาณ 2.6 พันล้านดอลลาร์ต่อปี 

-      การซื้อผลิตภัณฑ์พลังงานมูลค่าประมาณ 5.4 พันล้านดอลลาร์ต่อปี 

-      การซื้อเครื่องบินจากสหรัฐฯ จำนวน 80 ลำ มูลค่า 18.8 พันล้านดอลลาร์ 


* การดำเนินการต่อไป

สหรัฐฯ และไทยจะเจรจาและสรุปความตกลงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อเตรียมการสำหรับลงนาม 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กรอบความตกลงการค้า #ไทยสหรัฐ 

ไทย-กัมพูชา ลงนามถ้อยแถลงเพื่อนำไปสู่สันติภาพ โดนัลด์ ทรัมป์ - อันวาร์ ร่วมเป็นสักขีพยาน

 


ไทย-กัมพูชา ลงนามถ้อยแถลงเพื่อนำไปสู่สันติภาพ โดนัลด์ ทรัมป์ - อันวาร์ ร่วมเป็นสักขีพยาน


เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ณ ศูนย์การประชุมกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็นประธานเปิดการประชุมอย่างเป็นทางการ ร่วมด้วยผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน ประเทศคู่เจรจา และองค์การระหว่างประเทศ


นายอันวาร์ได้กล่าวชื่นชมและขอบคุณนายกรัฐมนตรีของไทย ที่แสดงวิสัยทัศน์และความกล้าหาญในการผลักดันกระบวนการสันติภาพชายแดนไทย–กัมพูชา ด้วยแนวทางทางการทูต จนนำไปสู่การลงนามถ้อยแถลงร่วม (Joint Declaration) ว่าด้วยผลการหารือระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งจะเป็นสัญลักษณ์สำคัญของ “สันติวิธีแบบอาเซียน” ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม


ระหว่างการประชุม นายอนุทินได้หารือทวิภาคีกับนายอันโตนิอู กุแตเรซ เลขาธิการสหประชาชาติ โดยไทยชื่นชมบทบาทของสหประชาชาติในการธำรงสันติภาพโลก และได้เสนอ “Complementarities Initiative 2.0” เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในภูมิภาคอาเซียน


นอกจากนี้ ยังได้หารือกับนายแฟร์ดีนันด์ มาร์โคส ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การเกษตร ดิจิทัล การท่องเที่ยว และการแพทย์ พร้อมยืนยันไทยสนับสนุนฟิลิปปินส์ในการเป็นประธานอาเซียนปี 2569


ในการกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมสุดยอดอาเซียน นายอนุทินเน้นย้ำ 3 แนวทางสำคัญของไทย ได้แก่


1. การสร้างประชาคมอาเซียนที่มั่นคงปลอดภัย

2. การพัฒนาเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและยั่งยืน

3. การเสริมสร้างสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค
พร้อมแสดงความยินดีต่อมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนปีนี้ และให้คำมั่นสนับสนุนฟิลิปปินส์ในการรับช่วงต่อ


ภารกิจสำคัญของการประชุมครั้งนี้ คือ การร่วมลงนาม “ถ้อยแถลงผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา” โดยมีนายโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ร่วมเป็นสักขีพยาน


ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวยกย่องผู้นำทั้งสองประเทศที่เลือกแนวทางสันติ ยุติการสู้รบและลดการสูญเสียชีวิต พร้อมขอบคุณมาเลเซียที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางการเจรจา


ขณะที่นายอนุทิน ระบุว่า การลงนามครั้งนี้ถือเป็น “หมุดหมายสำคัญแห่งสันติภาพ” ระหว่างไทย–กัมพูชา ซึ่งจะเป็นรากฐานของการฟื้นฟูความสัมพันธ์และความเชื่อมั่นระหว่างกัน โดยเฉพาะการถอนอาวุธหนักออกจากแนวชายแดน และการปล่อยตัวทหารกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัว 18 นาย เพื่อสร้างความไว้วางใจและยุติความขัดแย้งอย่างยั่งยืน


นายกรัฐมนตรีไทยย้ำว่า “สันติภาพที่แท้จริงคือสันติภาพที่มาพร้อมศักดิ์ศรีของประชาชน” และมั่นใจว่าข้อตกลงครั้งนี้จะเปลี่ยนผ่านความขัดแย้งให้กลายเป็นความร่วมมือได้อย่างแท้จริง


ในการประชุม ยังมีการประกาศ “แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยกรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างสหรัฐฯ–ไทย” และบันทึกความเข้าใจด้านความร่วมมือแร่ธาตุสำคัญ (Critical Minerals MOU) เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทาน


สาระสำคัญของถ้อยแถลงร่วมไทย–กัมพูชา (Joint Declaration)


1. ยืนยันความมุ่งมั่นต่อสันติภาพ ความมั่นคง และการแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติ เคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกันและกัน

2. เดินหน้าดำเนินการตามข้อตกลงจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC)

3. เห็นชอบจัดตั้ง “ทีมผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team : AOT)” เพื่อกำกับดูแลการหยุดยิงอย่างเป็นทางการ

4. เห็นพ้องในมาตรการลดความตึงเครียด เช่น การถอนอาวุธหนักออกจากแนวชายแดน การยุติการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ และการสร้างความเชื่อมั่นร่วมกันผ่านความร่วมมือและมิตรภาพ

5. ไทยจะปล่อยเชลยศึกโดยพลันเมื่อมาตรการดังกล่าวดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นการยุติความเป็นปรปักษ์อย่างสมบูรณ์

6. ส่งเสริมความร่วมมือในการป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ และการตรวจสอบควบคุมแนวชายแดน

7. ยืนยันการแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธี ภายใต้กฎบัตรสหประชาชาติและอาเซียน

8. ทั้งสองฝ่ายเชื่อมั่นว่าการเจรจาครั้งนี้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และมาเลเซีย จะเป็นรากฐานสำคัญของสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ไทยกัมพูชา #อนุทิน #ฮุนมาเนต #โดนัลด์ทรัมป์

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2568

สำนักพระราชวัง แจ้งเส้นทางเคลื่อนพระบรมศพ “สมเด็จพระพันปีหลวง”

 


สำนักพระราชวัง แจ้งเส้นทางเคลื่อนพระบรมศพ “สมเด็จพระพันปีหลวง”


จากกรณีสำนักพระราชวังออกประกาศว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จสวรรคต เมื่อช่วงดึกของวันที่ 24 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ตามรายงานข่าวที่เสนอไปก่อนหน้านี้


วันนี้ (25 ตุลาคม 2568) เวลา 09.30 น. หลังประกาศสำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต บรรยากาศที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย มีประชาชนแต่งกายชุดดำมารอเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวตั้วแต่ช่วงเช้า มีข้าราชบริพารเดินทางเข้าออกตลอดอาคาร


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักพระราชวังแจ้งว่า จะมีการเคลื่อนพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จากอาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ไปยัง พระที่นั่งพิมานรัตยา ภายในพระบรมมหาราชวัง ในวันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พุทธศักราช 2568 เวลา 16.00 น.


อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากนั้น จะมีการประดิษฐานพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เพื่อให้ข้าราชการและประชาชนได้ถวายสักการะ ทั้งนี้ หมายกำหนดการโดยละเอียดจากหน่วยราชการในพระองค์ จะประกาศแจ้งให้ประชาชนทราบต่อไป


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พระพันปีหลวง #สำนักพระราชวัง

“เท้ง” ขึ้นเวทีปลุกพรรคส้ม แย้มชุดนโยบาย-แผนงาน โชว์ความพร้อมเข้าสู่เลือกตั้ง

 


เท้ง” ขึ้นเวทีปลุกพรรคส้ม แย้มชุดนโยบาย-แผนงาน โชว์ความพร้อมเข้าสู่เลือกตั้ง


วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม 2568 ในการประชุมวิสามัญพรรคประชาชน ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ได้นำเสนอหัวข้อ “มุ่งหน้าสู่การเลือกตั้ง 2569” เพื่อเล่าถึงความพร้อมของพรรค งานนโยบาย ผู้สมัคร และคณะทำงานทั่วประเทศ ในการเข้าสู่การเลือกตั้งช่วงต้นปี 2569 นี้


โดยหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวย้อนถึงอดีตพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกตั้งขึ้นมาในปี 2561 และสามารถได้ผู้แทนราษฎรมาถึง 81 คนในการเลือกตั้ง 2562 เหนือความคาดหมายของหลายคน เพราะสามารถตอบโจทย์ Know Why ได้ ว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีพรรคอนาคตใหม่เพื่อยุติวงจรอุบาทว์รัฐประหาร ด้วยแนวนโยบายประชาธิปไตย ปฏิรูปกองทัพ ทลายทุนผูกขาด


ส่วนพรรคก้าวไกลก็สามารถตอบโจทย์ Know What คือการมี 300 นโยบาย ครอบคลุมรอบด้านทุกระดับและกลุ่มของสังคม พรรคก้าวไกลมีคำตอบสำหรับทุกปัญหา พร้อมด้วยหมัดเด็ดในการยืนยันจุดยืนของพรรค นั่นคือ “มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง” ทำให้พี่น้องประชาชนมั่นใจในจุดยืนของพรรคว่าจะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา จนพรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งได้มาเป็นอันดับ 1


และสำหรับพรรคประชาชนที่กำลังเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้ง 2569 โจทย์หลักของเราก็คือ Know How คือการที่พรรคสามารถนำเสนอวิธีการและแผนการปฏิบัติให้สังคมไทยได้อย่างชัดเจน เป็นรูปธรรม เมื่อเป็นรัฐบาลแล้วก็สามารถลงมือทำงานได้ทันที โดยในวันนี้ได้แบ่งเป็นหัวข้อชุดนโยบายและแผนงานได้เป็น


1.“มีเราไม่มีเทา” รวมนโยบายและแผนงานเกี่ยวกับการปราบปรามอาชญากรรม สแกมเมอร์ ทุนเทา การคอร์รัปชัน และการสร้างรัฐโปร่งใส


2.“มีเรามีคุณภาพชีวิตดี” รวมนโยบายและแผนงานเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การนำเสนอนโยบายความมั่นคงในโลกยุคปัจจุบัน


3.“มีเรามีเศรษฐกิจใหม่” รวมนโยบายและแผนงานเกี่ยวกับการพัฒนาเครื่องจักรใหม่ทางเศรษฐกิจ การลงทุน


4.“มีเรามีประชาธิปไตย” รวมนโยบายและแผนงานเกี่ยวกับการพัฒนาระบบการเมือง รัฐธรรมนูญ การปฏิรูปกองทัพ การพัฒนาพิทักษ์สิทธิเสรีภาพ การกระจายอำนาจ และการพัฒนากระบวนการยุติธรรม


5.“มีเราประเทศไทยมีอนาคต” รวมนโยบายและแผนงานเกี่ยวกับการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน รวมทั้งการอัปสกิล ยกระดับความรู้ ทักษะความสามารถของประชาชนให้เท่าทันโลกปัจจุบันและอนาคต


โดยณัฐพงษ์กล่าวต่อว่า ที่ตนพูดมาทั้งหมด ขอย้ำอีกครั้งว่าปัญหาของประเทศที่หมักหมมมานานพวกนี้ใครๆ ก็รู้ว่ามีอยู่ วันนี้มันหมดเวลาแล้วที่จะปล่อยปัญหาพวกนี้ต่อไป วันนี้ถึงเวลาของพรรคประชาชนที่สามารถเอาจริงกับมันได้ ด้วย 3 องค์ประกอบหลัก คือ 1.นโยบายที่ลงลึกไปถึงแผนการปฏิบัติ 2.ทีมที่มีความสามารถ เชื่อมือได้ และ 3.เจตจำนงทางการเมือง เรื่องนี้พวกเราเดินมาเกือบ 8 ปี ไม่ต้องพูดอะไรกันมากแล้ว ประชาชนรู้ดีว่าพวกเราเป็นฝ่ายค้านก็ทำงานเต็มที่ เมื่อเป็นรัฐบาลก็สามารถมั่นใจได้ว่าเราเอาจริงแน่นอน

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน









ขอเชิญร่วมงาน “19 ปี 19 กันยา 2459 ต่อต้านรัฐประหาร รำลึก นวมทอง ไพรวัลย์”

 


ขอเชิญร่วมงาน “19 ปี 19 กันยา 2459 ต่อต้านรัฐประหาร รำลึก นวมทอง ไพรวัลย์”


ณ สดมภ์อนุสรณ์ นวมทอง ไพรวัลย์

สะพานลอย ริมถนนวิภาวดีรังสิต

หน้าสำนักงานใหญ่ นสพ.ไทยรัฐ


ในวันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม 2568


กำหนดการ :


12.00 น. นัดพร้อม / รับประทานอาหาร / ดนตรี

13.00 น. เริ่มพิธีสงฆ์ (ถวายสังฆทาน)

14.30 น. ดนตรี และ RAP นวมทอง ไพรวัลย์

15.00 น. วางพวงหรีด / ดอกไม้

15.-30 น. กล่าวรำลึก ศึกษาจิตใจ "นวมทอง ไพรวัลย์"

              "19 ปี ต่อต้านรัฐประหาร 2549"

17.00 น. ถ่ายรูปร่วมกัน / เสร็จงาน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คปช53 #นวมทองไพรวัลย์ #19ปีนวมทอง

สำนักพระราชวังเผยแพร่ประกาศ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต

 


สำนักพระราชวังเผยแพร่ประกาศ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต


ประกาศสำนักพระราชวัง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2568 โดยมีรายละเอียดระบุว่า


ตามที่คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ตั้งแต่วันวันที่ 7 กันยายน พุทธศักราช 2562 เพื่อติดตามพระอาการทางระบบต่างๆ ความทราบทั่วกันแล้วนั้น ในช่วงที่ประทับที่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรหลายครั้ง และคณะแพทย์ตรวจพบความผิดปกติทางระบบต่างๆ ทำให้คณะแพทย์ต้องถวายการรักษาอย่างต่อเนื่อง


ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2568 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรจากภาวะติดเชื้อในกระแสพระโลหิต แม้ว่าคณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างสุดความสามารถ แต่พระอาการประชวรทรุดหนักลงตามลำดับถึงวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พุทธศักราช 2568 เวลา 21 นาฬิกา 21 นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 93


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สำนักพระราชวัง จัดการพระศพ ถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง


ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในราชสำนักไว้ทุกข์ถวาย มีกำหนด 1 ปี ตั้งแต่วันสวรรคตเป็นต้นไป

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พระพันปีหลวง #สำนักพระราชวัง

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568

จม.จากเรือนจำ“อานนท์” เขียน เมื่อโลกสมัยใหม่ล้อมโลกเก่าอันคร่ำครึ “ความพยามด้วยเรี่ยวแรงท้ายสุดเพื่อมิให้ “สังคมใหม่” ก่อเกิด ส่งผลให้เป็นแรงกระเพื่อม เป็นแรงกระเพื่อมครั้งท้าย ๆ ทุกคนย่อมรู้ว่าเรื่องราวจะจบอย่างไร”

 


จม.จากเรือนจำ“อานนท์” เขียน เมื่อโลกสมัยใหม่ล้อมโลกเก่าอันคร่ำครึ “ความพยามด้วยเรี่ยวแรงท้ายสุดเพื่อมิให้ “สังคมใหม่” ก่อเกิด ส่งผลให้เป็นแรงกระเพื่อม เป็นแรงกระเพื่อมครั้งท้าย ๆ ทุกคนย่อมรู้ว่าเรื่องราวจะจบอย่างไร”


วันนี้ (23 ต.ค. 68) เพจอานนท์ นำภา โพสข้อความจดหมาย ฉบับวันที่ 21 ต.ค. 68 ใจความว่า 


21 ตุลาคม 2568 ปลายฝนต้นหนาว หลายๆอย่างเริ่มต้นและหลายอย่างกำลังสิ้นสุดลง เมื่อโลกสมัยใหม่ล้อมโลกเก่าอันคร่ำครึ ความพยามด้วยเรี่ยวแรงท้ายสุดเพื่อมิให้ “สังคมใหม่” ก่อเกิด ส่งผลให้เป็นแรงกระเพื่อม เป็นแรงกระเพื่อมครั้งท้าย ๆ ทุกคนย่อมรู้ว่าเรื่องราวจะจบอย่างไร บางสิ่งอาจหลงเหลือไว้เพียงเรื่องเล่า ร่องรอยในหนังสือประวัติศาสตร์ หรืออาจจางหายไปเช่นชื่อของชาวบ้านที่ร่วมรบในสงครามนับครั้งไม่ถ้วน สิ่งที่ก่อเกิดความจริงมันจะถูกหว่านเหมือนเมล็ดพันธุ์บนผืนดินมาสักพักแล้ว จากต้นสู่ต้นจนเป็นผืนป่า การขังต้นไม้ไว้ในผืนป่าจึงเป็นเรื่องราวที่ตลกยิ่ง


เมื่อถึงต้นฤดูหนาว หากอยู่ข้างนอกคงต้องวางแผนขึ้นเหนือเพื่อไปโอบกอดอากาศหนาว ลมหนาว และวางแผนเยี่ยมเยือนมิตรสหายแล้ว หากแต่ขณะนี้ต้องถูกจองจำ สิ่งที่ต้องตระเตรียมคือเสื้อกันหนาว ซึ่งต้องรอให้ญาติสั่งซื้อเท่านั้น มันเป็นเสื้อแขนยาวบาง ๆ ที่ไม่อุ่นเท่าไหร่แต่ในภาวะเช่นนี้ การมีเสื้อแขนยาวสักตัวย่อมดีกว่าไม่มี อีกอย่างที่ต้องเตรียมคือร่างกายในนี้ต้องเตรียมร่างกายให้แข็งแรงไว้ต่อสู้กับภาวะไข้หวัดระบาด ในทุกๆปีเราไม่อาจเลี่ยงภาวะนี้ได้ ทำได้เพียงทำใจและเดินไปกับมัน พยุงรักษาร่างกายให้บาดเจ็บน้อยที่สุด


ฝากซื้อเสื้อแขนยาวให้นักโทษการเมืองทุกคนด้วย คนละตัวก็ยังดี แล้วเราจะผ่านฤดูหนาวนี้ไปด้วยกัน


รักและคิดถึงทุกคน

อานนท์ นำภา


สำหรับอานนท์ นำภา ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน 2566 จนถึงปัจจุบันอานนท์ยังถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ด้วยโทษจำคุกในคดีมาตรา 112 และคดีต่าง ๆ ที่ยังไม่สิ้นสุดรวมกันถึง 26 ปี 77 เดือน 20 วัน หรือประมาณ 29 ปี 1 เดือนเศษ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อานนท์นำภา #มาตรา112