วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2568

รำลึก 19 ปี “ลุงนวมทอง ไพรวัลย์” คปช.53 - มูลนิธิวีรชนประชาธิปไตย ร่วมจัด ช่อ-อมรัตน์- ทนายแจม - สว.เทวฤทธิ์ - สมยศ และนักกิจกรรมคนรุ่นใหม่ ร่วมวางพวงหรีดดอกไม้ รำลึกสามัญชนคนธรรมดา ยืนหยัดต้านรัฐประหาร อ่านจดหมายจากอานนท์ - จิ้น กรรมาชน - อาเล็ก - บุ๊ค Elevenfinger ร่วมร้องเพลง

 


รำลึก 19 ปี “ลุงนวมทอง ไพรวัลย์” คปช.53 - มูลนิธิวีรชนประชาธิปไตย ร่วมจัด ช่อ-อมรัตน์- ทนายแจม - สว.เทวฤทธิ์ - สมยศ และนักกิจกรรมคนรุ่นใหม่ ร่วมวางพวงหรีดดอกไม้ รำลึกสามัญชนคนธรรมดา ยืนหยัดต้านรัฐประหาร อ่านจดหมายจากอานนท์ - จิ้น กรรมาชน - อาเล็ก - บุ๊ค Elevenfinger ร่วมร้องเพลง 


วันนี้ (31 ตุลาคม 2568) ที่ สดมภ์อนุสรณ์ นวมทอง ไพรวัลย์ ถนนวิภาวดี หน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ คณะประชาชนทวงความยุติธรรม 2553 หรือ คปช.53 นำโดย นางธิดา ถาวรเศรษฐ, นพ.เหวง โตจิราการ, นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิดวงประทีป นางบุญชู ไพรวัลย์ ภรรยาของนายนวมทอง ที่มาพร้อมลูกสาว ศ. เกียรติคุณ นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ อดีตรองประธานสมาพันธ์ประชาธิปไตย นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล น.ส.พรรณิการ์ วานิช นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย นาย กุลศักดิ์ เรืองคงเกียรติ หรือ จิ้น กรรมาชน นายเจษฎา ศรีปลั่ง กลุ่มทะลุแก๊ส องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สหภาพคนทำงาน ร่วมงานดังกล่าวด้วย


โดยตั้งแต่เที่ยง พี่น้องทยอยเข้าร่วมงาน อาเล็ก ศิลปินเพลงเพื่อราษฎร บุ๊ค ธนายุทธ Elevenfinger แต่งเพลงแรฟลุงนวมทอง 


จากนั้นเวลา 14.00 น. ผู้ร่วมงานยืนสงบนิ่งถวายความอาลัยแด่พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย 1 นาที ก่อนเริ่มพิธีสงฆ์ โดยมี ศ.เกียรติคุณ นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ ประธานมูลนิธิดวงประทีป เป็นประธานในพิธี


มีการถวายสังฆทานพระสงฆ์ 4 รูป มีการวางพวงหรีด และ ดอกไม้ เพื่อรำลึกถึงการเสียชีวิตของนายนวมทอง ไพรวัลย์ และปราศรัยถึงสถานการณ์ทางการเมือง 


สำหรับ นายนวมทอง ไพรวัลย์ หรือลุงนวมทอง อดีตพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่ขับรถแท็กซี่ชนรถถังเพื่อประท้วงการทำรัฐประหาร ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า จนได้รับบาดเจ็บ เมื่อ 19 กันยายน 2549 ก่อนผูกคอกับราวสะพานลอยบริเวณ ถ.วิภาวดีรังสิต หน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ในวันที่ 31 ตุลาคม 2549 พร้อมเขียนจดหมายลาตาย ระบุว่า ต้องการลบคำสบประมาทของ พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ รองโฆษกคณะรัฐประหารนั้น


จดหมายลาตายของลุงนวมทอง ระบุไว้ด้วยว่า


"สุดท้ายขอให้ลูกๆ และภรรยาจงภูมิใจในตัวพ่อ ไม่ต้องเสียใจ ชาติหน้าเกิดมาคงไม่พบเจอการปฏิวัติอีก ลาก่อน พบกันชาติหน้า ปล. ขอแก้ข่าว ขวดยาที่พบในรถภายหลังเกิดเหตุคืออาหารเสริมแคปซูลใบแปะก๊วยไม่ใช่ยาแก้เครียดตามที่ลงข่าว นสพ. ผมไม่เครียดแต่ประท้วงจอมเผด็จการ"


สำหรับเสื้อที่ลุงนวมทองใส่ในวันเสียชีวิต เป็นเสื้อยืดสีดำ ด้านหลังสกรีนข้อความเป็นบทกวีของศรีบูรพา (กุหลาบ สายประดิษฐ์) มีใจความว่า “อันประชา สามัคคี มีจัดตั้ง เป็นพลัง แกร่งกล้า มหาศาล แสนอาวุธ แสนศัตรู หมู่อันธพาล ไม่อาจต้าน แรงมหา ประชาชน”


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #19ปีนวมทองไพรวัลย์





















วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2568

พรรคประชาชนเสนอญัตติด่วนถกปัญหา “สแกมเมอร์” จี้รัฐบาลเอาจริงเอาจัง ร่วมมือกับนานาชาติให้เป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่ตั้งกรรมการแต่ไร้การปฏิบัติจริง

 


พรรคประชาชนเสนอญัตติด่วนถกปัญหา “สแกมเมอร์” จี้รัฐบาลเอาจริงเอาจัง ร่วมมือกับนานาชาติให้เป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่ตั้งกรรมการแต่ไร้การปฏิบัติจริง


วันที่ 30 ตุลาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สส.พรรคประชาชน ได้เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่อง แนวทางการปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ การค้ามนุษย์ และการฟอกเงิน เพื่อส่งให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน พร้อมร่วมอภิปรายข้อเสนอแนะของพรรคประชาชนต่อกรณีดังกล่าว


โดย รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะผู้เสนอญัตติ ระบุว่า ปัญหาสแกมเมอร์เป็นปัญหาที่มีความร้ายแรง สร้างความเสียหายทั่วโลกเป็นมูลค่ากว่า 64-65 พันล้านเหรียญสหรัฐ รายงานบางฉบับระบุว่ารายได้ของเครือข่ายสแกมเมอร์ที่ตั้งอยู่ในประเทศอย่างกัมพูชามีสูงถึง 60% ของจีดีพีทั้งประเทศ จากข้อมูลของรายงานหลายฉบับพบว่าฐานที่ตั้งของสแกมเมอร์หลักๆ อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นเมียนมาโดยเฉพาะริมชายแดนไทย และประเทศกัมพูชาที่มีการตั้งฐานสแกมเมอร์กระจายไปทั่วประเทศไปจนถึงเมืองหลวง บางข้อมูลระบุว่าฐานปฏิบัติการของสแกมเมอร์ที่สามารถยืนยันได้วันนี้ในประเทศกัมพูชามีมากถึง 53 แห่ง และมีสถานที่ต้องสงสัยอีกกว่า 40 แห่ง


จากข้อมูลล่าสุดจนถึงเดือนมีนาคม 2568 พบว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจากสแกมเมอร์สูงถึง 1.15 แสนล้านบาทแล้ว เป็นส่วนสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาบ้านเมือง ปัญหาสังคม ปัญหาความแตกร้าวในหลายครอบครัว และเป็นวิกฤตที่หน่วยงานต่างๆ ไม่สามารถหาคำตอบหรือวิธีการในการแก้ปัญหาได้อย่างชัดเจน ตนดีใจที่รัฐบาลนี้ได้มีการประกาศให้เรื่องสแกมเมอร์เป็นวาระแห่งชาติ แต่การยกให้เป็นวาระแห่งชาติจะไม่มีความหมายเลยถ้าสุดท้ายเป็นการดีแต่พูด ไม่ได้นำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างแท้จริง 


รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า ตั้งแต่รัฐบาลสมัยที่แล้วได้เริ่มปฏิบัติการทำลายเครือข่ายสแกมเมอร์ในพื้นที่เมืองเมียวดี ซึ่งอยู่ติดกับ จ.ตากของประเทศไทย และมีฐานสแกมเมอร์ที่นับได้ 35 แห่ง โดยมีแหล่งใหญ่สุดคือชะเวก๊กโก แม้จะเป็นสัญญาณดีที่ได้มีการตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต หยุดยั้งการส่งน้ำมัน และควบคุมการเข้าออกชายแดนให้เกิดผลอย่างมีนัยสำคัญ แต่ที่น่าเสียดายคือประเทศไทยทำอยู่แค่นั้นและก็หยุดลง ไม่ได้มีการดำเนินการต่อ ทั่วโลกรู้ว่าเครือข่ายสแกมเมอร์ไม่ได้อยู่เฉพาะในเมียนมา แต่อยู่อีกหลายแห่งทั้งในฝั่งลาวและกัมพูชา แต่น่าเสียดายที่การขยายผลเพื่อนำไปสู่การทำลายเครือข่ายไม่เกิดขึ้น


ในเวลานั้นเครือข่ายสแกมเมอร์มีการเดินทางไปตามฐานต่างๆ ที่อยู่ตามแนวชายแดน โดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน สิ่งที่พรรคประชาชนเรียกร้องมาโดยตลอดในสภาฯ แห่งนี้ คือรัฐบาลจะวิธีการที่เป็นรูปธรรมอย่างไรในการจัดการกับปัญหา “ไทยเทา” สิ่งที่เห็นคือมีการย้ายผู้กำกับและตำรวจบ้าง แต่ก็ทำแค่นั้น ไม่ได้นำไปสู่การขยายผลดำเนินคดีกับบรรดาไทยเทาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการออกหมายจับอาชญากรรายสำคัญ ทั้งที่เจ้าหน้าที่รัฐมีข้อมูลดีว่าใครเกี่ยวข้องบ้าง แต่สุดท้ายกลับไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจัง ไม่แม้แต่มีการดำเนินคดีกับบุคคลอย่างหม่องชิตตู ซึ่งสหรัฐอเมริกาคว่ำบาตรไปแล้ว ดีเอสไอส่งเรื่องไปที่อัยการสูงสุดและค้างอยู่ตรงนั้น ไม่มีการดำเนินการอย่างไรต่อ 


รังสิมันต์กล่าวต่อว่า หากเรื่องนี้ใหญ่และสำคัญจริงสำหรับรัฐบาล เหตุใดจึงไม่มีการดำเนินการอย่างเอาจริงเอาจัง เป็นเพียงการนับหนึ่งเพื่อเอาใจบางประเทศ แต่ไม่ได้ใส่ใจในการยับยั้งความเสียหายที่จะเกิดขึ้น จากการนับหนึ่งวันนั้นผ่านมาถึงตอนนี้ ความเสียหายเกิดขึ้นเหมือนเดิมและอาจจะยิ่งร้ายแรงกว่าเดิมด้วยซ้ำ เมื่อสถานการณ์ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริง เครือข่ายสแกมเมอร์จำนวนไม่น้อยจึงย้ายจากเมียวดีมาอยู่ที่ฝั่งกัมพูชา และถ้าไม่มีความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ตนสงสัยว่าประเทศไทยจะเอาจริงในเรื่องการจัดการเครือข่ายสแกมเมอร์หรือไม่ 


วันนี้ต้องยอมรับว่าเรื่องสแกมเมอร์ไม่ได้เป็นเรื่องเล็กแค่ระหว่างกัมพูชากับไทย หรือไทยกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่เป็นอาชญากรรมข้ามชาติที่มีความร้ายแรงและสลับซับซ้อน ไม่ได้ร้ายแรงแค่เฉพาะการหลอกลวงเอาเงินของคนทั่วโลก แต่ยังรวมไปถึงการฟอกเงินเพื่อนำเงินเหล่านี้เปลี่ยนไปซื้อธุรกิจเพื่อแข่งขันกับคนไทย โดยที่ประเทศไทยในวันนี้กำลังเป็นศูนย์รวมกิจกรรมเหล่านี้อยู่ หลายคนในหลายประเทศถูกหลอกไปทำงานเป็นสแกมเมอร์ได้ถึงหลักแสนคนก็เพราะมีขบวนการค้ามนุษย์ มีเจ้าหน้าที่รัฐ และมีผู้มีอำนาจในประเทศไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง คำถามคือรัฐบาลไทยทำอะไรเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาเหล่านี้บ้าง


รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า ตนได้เห็นบทบาทของนายกรัฐมนตรีที่เดินทางไปประชุมสุดยอดอาเซียนที่มาเลเซีย โดยให้ข่าวตลอดเวลาว่าประเทศไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพในการกวาดล้างเครือข่ายสแกมเมอร์ แต่ความจริงคือทางการสหรัฐอเมริการ่วมปฏิบัติการกับทางสหราชอาณาจักร ยึดอายัดคริปโตของปรินซ์กรุ๊ปมูลค่ากว่า 500,000 ล้านบาทไปแล้ว แต่ประเทศไทยที่อยู่ติดกับกัมพูชากลับทำอะไรไม่ได้ ต้องรอให้ประเทศอื่นมาจัดการให้ เกาหลีใต้เริ่มดำเนินการ ทางการสิงคโปร์ก็เริ่มดำเนินการ แต่วันนี้ตนประชุมกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ ถามหน่วยงานอย่าง ปปง. ว่าเรื่องปรินซ์กรุ๊ปได้มีการขยับอะไรบ้างหรือไม่ คำตอบที่ตนได้รับคือไม่มี เพราะยังไม่มีหน่วยงานไหนส่งเรื่องมาให้ ปปง. ทำ


นายกรัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง โดยนำรัฐมนตรีหลายกระทรวงไปดำเนินการแบ่งเป็นอนุกรรมการชุดต่างๆ แต่ประเทศไทยกลับไม่สามารถแม้แต่จะจัดการกับกรณีที่ใหญ่ระดับโลกอย่างปรินซ์กรุ๊ปได้เลยด้วยซ้ำ เอาแต่พูดว่าต้องรอให้เป็นคดีมูลฐานถึงดำเนินการได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงกฎหมายเขียนไว้แล้วว่าเพียงสงสัยก็ดำเนินการได้ แต่ก็ไม่ทำ ตนจึงสงสัยว่าจะต้องมีนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำให้เรื่องเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ อย่างเรื่องของบริษัทฮุ่ยวัน ข้อมูลของทางการก็มีระบุว่าสำคัญอย่างไร ถูกเฝ้าจับตามองจากสหรัฐอเมริกา มีหน่วยงานใดบ้างดำเนินการกับบริษัทนี้อยู่ แต่ถึงแม้จะมีข้อมูลมากขนาดนี้ ปปง. ก็ยังไม่ทำอะไร พยายามถามว่ามีความคืบหน้าอย่างไรบ้างก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรสักอย่าง


รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า ถ้านายกรัฐมนตรีอยากแก้ปัญหาเรื่องนี้ โดยการเป็นเจ้าภาพดึงสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฯลฯ เข้ามาร่วมปฏิบัติการ มันไม่ใช่แค่การเดินไปคุยแล้วเชิญมา แต่ต้องมีรูปธรรมของการทำงานที่มากกว่านี้ ซึ่งตนขอเสนอเป็นแนวทางไว้ดังนี้


1. ในระดับนโยบาย รัฐบาลต้องมีรูปธรรมที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลง ปฏิญญา หรือเอ็มโอยู รัฐบาลต้องกำหนดและประกาศให้สาธารณชนได้ทราบว่าจะใช้เวลาเท่าใดในการร่วมมือกับทุกประเทศในระดับนโยบาย และจะต้องมีแผนปฏิบัติการออกมาให้ประชาชนชาวไทยได้เห็นความคืบหน้า


2. ในระดับปฏิบัติการ รัฐบาลต้องมีศูนย์ยุทธการบูรณาการ ที่ต้องมีการเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมงตลอด 7 วัน ร่วมมือแบ่งปันข้อมูลกับหน่วยงานอย่างตำรวจสากล และหน่วยงานที่ทำเรื่องนี้ในสิงคโปร์ แลกเปลี่ยนข้อมูลตลอดเวลาโดยกำหนดเป้าหมายให้มีความชัดเจน ซึ่งอาจแบ่งเป็น 3 แกนคือ


2.1 ปิดแหล่งสแกมเมอร์: รัฐบาลรู้แล้วว่าอยู่ที่ใดบ้าง ละเอียดไปจนถึงพิกัด หากกัมพูชาไม่ยอมดำเนินการ รัฐบาลก็ต้องใช้กลไกศาลอาญาระหว่างประเทศไปดำเนินการ


2.2 ปิดกั้นสัญญาณ: เครือข่ายสแกมเมอร์ในปัจจุบันใช้บริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมของสตาร์ลิงก์เป็นเครื่องมืออยู่ ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน ถ้านายกรัฐมนตรีมีการประสานงานไปที่บริษัทสเปซเอ็กซ์ให้ชัดเจนว่ามีพิกัดใดบ้างที่เป็นการใช้งานของเครือข่ายสแกมเมอร์อยู่ ก็สามารถปิดกั้นได้ทันที


2.3 ปิดกั้นเงิน: ปปง. จะต้องทำงานเชิงรุกโดยร่วมมือกับบริษัทเอกชน ซึ่งวันนี้มีความพยายามแล้ว อย่างเช่นศูนย์ IAC ที่มีการดึงธนาคารต่างๆ เข้ามา แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้นต้องรวมเอกชนให้มากขึ้นแล้วออกเป็นปฏิบัติการเชิงรุก วันนี้สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือทุกมาตรการจะต้องนำไปสู่การทำลายโครงสร้างอาชญากรรม


3. ในระดับกฎหมายการเงินและการกำกับดูแล “Travel Rule” คือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าบรรดาคริปโตต่างๆ จะถูกพิสูจน์และรู้ได้ว่าใครเป็นเจ้าของและถูกโอนย้ายไปที่ใดบ้าง การควบคุมคริปโตก็จะสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่างแก้ไข พ.ร.บ.ปปง. ที่กำลังพิจารณากันอยู่ก็น่าเสริมเรื่องนี้เข้าไปแล้ว แต่โดยสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่ปกติ การหวังให้ร่างกฎหมายฉบับนี้เสร็จทันในสภาฯ ชุดนี้คงเป็นไปไม่ได้ และในความเป็นจริงก็ไม่มีความจำเป็นต้องรอ เพราะกระทรวงดิจิทัลฯ สามารถแก้ไขกฎกระทรวงเพื่อให้รองรับเรื่องนี้ได้เลยทันที ส่วนการบังคับใช้กฎหมาย แม้ประเทศไทยจะเริ่มมีการอายัดทรัพย์สินบุคคลอย่างลียงพัด หรือก๊กอานแล้ว แต่คนเหล่านี้ยังมีบทบาทและอำนาจอยู่ในประเทศกัมพูชา รัฐบาลไทยต้องประกาศให้ชัดว่าจะจับกลุ่มคนเหล่านี้เพื่อให้มีการดำเนินคดีกับบุคคลที่เป็นอาชญากรข้ามชาติ


4. โครงสร้างและการทำงานของรัฐบาล ปัจจุบันไม่มีใครเป็นผู้ที่จะนำนโยบายของรัฐไปดำเนินการให้เป็นจริง จากปัญหาที่พบตำรวจอย่างเดียวไม่พอที่จะรับมือได้ รัฐบาลจะมีกลไกอย่างไร วันนี้ประเทศไทยต้องการมือปราบ ใครคือเบอร์หนึ่งเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีคนเดียวเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว รัฐบาลต้องมีคนที่เป็นหัวหน้าที่จะรับผิดรับชอบ รวมไปถึงการมีงบประมาณในการแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม 


5. กรอบเวลาและตัวชี้วัด รัฐบาลต้องแถลงต่อประชาชนให้ชัดว่าเดือนนี้จะเห็นอะไร เดือนหน้าจะเห็นอะไร จะยึดทรัพย์เท่าไร อาชญากรจะถูกจับหรือไม่


รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า แต่ทั้งหมดย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าประชาชนไม่มีความเชื่อมั่น วันนี้เมื่อข้อมูลหลักฐานชี้ชัดว่ามีนักการเมืองระดับรองนายกรัฐมนตรี คือ ธรรมนัส พรหมเผ่า ถูกเชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายสแกมเมอร์ แล้วยังหนีสื่อ หนีการตอบคำถามของกรรมาธิการ ไม่ออกมาชี้แจง ไม่กล้าเผชิญหน้ากับฝ่ายค้านเพื่อตอบคำถามว่าเกี่ยวข้องกับบุคคลอย่าง เบนสมิธ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของฮุนเซ็นได้อย่างไร ประชาชนที่มองอยู่ก็ย่อมเกิดการตั้งคำถามต่อรัฐบาลได้


ถ้าเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีไม่สามารถตอบให้กระจ่างได้ รัฐบาลจะไม่มีทางได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนในการแก้ปัญหา และทั้งหมดจะนำไปสู่สถานการณ์ทุนเทายึดประเทศ มันคือตัวเลขเงินหลักแสนล้านบาทที่ถูกฟอกในประเทศไทยผ่านธุรกิจต่างๆ บางธุรกิจอาจมีขนาดเล็ก อาจเป็นมูลนิธิ สมาคม ไปจนถึงบริษัทใหญ่ เงินเหล่านี้บางส่วนอาจถูกใช้ผสมกับเงินสีขาว บางส่วนอาจนำไปสู่การขยายกิจการให้มีพื้นที่ฟอกเงินมากขึ้น การที่ประเทศไทยกลายเป็นสวรรค์แห่งการฟอกเงิน ในท้ายที่สุดจะสร้างปัญหามากมายในแง่ภาพลักษณ์ของประเทศและความเชื่อมั่น ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยอาจไม่แตกต่างกับกัมพูชาก็ได้


รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ภาคธุรกิจของประเทศไทยก็จะเจอกับการแข่งขันที่ไม่ธรรมดา เพราะประเทศไทยต้องแข่งขันกับธุรกิจที่มีเงินสีเทาไม่จำกัด ที่ทำให้ค่าครองชีพโดยรวมของประเทศสูงขึ้น กิจการของคนไทยจะค่อยๆ ถูกซื้อโดยบรรดากลุ่มทุนเหล่านี้ ต่อไปคือการซื้อข้าราชการไทย จนสุดท้ายก็ซื้อนักการเมืองไทย เผลอๆ ในการเลือกตั้งรอบนี้ เงินเหล่านี้จะลงสู่การเลือกตั้งทั้งระบบ เพื่อยึดอำนาจรัฐของประเทศไปโดยที่ระบบตรวจสอบทั้งหมดทำอะไรไม่ได้เลย


วันนี้สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำคือการซื้อเวลาโดยไม่คิดทำอะไร ไม่มีความคืบหน้าอะไรทั้งกรณีเบนสมิธ ยิมเลียก หรือ BIC ที่หลายชาติกำลังเฝ้าดู สิ่งที่รัฐบาลทำมีเพียงแค่การตั้งคณะกรรมการโดยไม่มีแผนปฏิบัติการหรือความพยายามในการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ถ้ารัฐบาลอยากปราบสแกมเมอร์จริง สิ่งที่ต้องทำขั้นตอนแรกที่สุดคือร้อยเรียงทุกหน่วยงาน กำหนดตัวชี้วัดให้ชัด กำหนดโครงสร้างให้ชัด เงินงบประมาณต้องใส่ลงไป กฎหมายบางฉบับที่จะให้อำนาจ กลต. เข้าถึงข้อมูลผู้ได้รับประโยชน์ที่แท้จริงของบริษัทต่างๆ ควรต้องมีการเสนอได้แล้ว ถ้าทำสิ่งเหล่านี้ได้ก็จะนำไปสู่การปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์ได้อย่างแท้จริงในที่สุด


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #สแกมเมอร์

จม.จากเรือนจำ “อานนท์” เขียน “19 ปี นวมทอง ไพรวัลย์” “การจากไปของบางคนคือการดำรงอยู่ การจากไปของบางคนเป็นเพียงชั่วครู่ชั่วยาม รอการพบเจอ .. คิดถึงลุงนวมทอง คิดถึงเพื่อน ๆ ทุกคน”

 


จม.จากเรือนจำ “อานนท์” เขียน “19 ปี นวมทอง ไพรวัลย์” “การจากไปของบางคนคือการดำรงอยู่ การจากไปของบางคนเป็นเพียงชั่วครู่ชั่วยาม รอการพบเจอ .. คิดถึงลุงนวมทอง คิดถึงเพื่อน ๆ ทุกคน”


วันนี้ (30 ต.ค. 68) เพจอานนท์ นำภา โพสข้อความจดหมายจากอานนท์ ฉบับลงวันที่ 28 ตุลาคม 2568 คิดถึงลุงนวมทอง คิดถึงเพื่อนๆทุกคน” ใจความว่า 


3 ปีแล้วที่ไม่ได้ไปรำลึกลุงนวมทอง ไม่แน่ใจว่าคนข้างนอกยังมีการจัดงานรำลึกอยู่หรือเปล่า อนุสาวรีย์ของลุงที่หน้าไทยรัฐยังอยู่ดีหรือไม่ เหตุการณ์ก็ผ่านมา 19 ปีแล้ว เป็น 19 ปีที่ยังว่างเปล่า หลายๆเหตุการณ์ที่คิดว่าจะหมดไปก็ยังเกิดขึ้นซ้ำๆ เหมือน 31 ตุลาคม 2549 ไม่มีความหมายอะไร


ไม่น่าเชื่อว่าคดีที่เกี่ยวกับการต้านรัฐประหารและเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งยังคงถูกพิจารณาคดีในชั้นศาล ไม่น่าเชื่อว่ายังคงมีคนที่เห็นดีเห็นงามและพยายามเรียกร้องอำนาจนอกระบบอย่างออกนอกหน้านอกตา ไม่น่าเชื่อว่าคนรุ่นใหม่จำนวนมากต้องลี้ภัยการเมืองในยุคที่โลกทั้งโลกแทบจะตกผลึกร่วมกันแล้วว่าเรื่องสิทธิเสรีภาพเป็นพื้นฐานของมนุษย์เรา


เป็นความท้อแท้และรุกรบระคนกันไป เวลาได้ยินข่าวเพื่อนหลายคนตัดสินใจลี้ภัยทางการเมือง การเอาใจช่วยอยู่ตามสภาพคือสิ่งที่พอทำได้ในโมงยามที่สถานการณ์ผันแปร แต่ในความท้อแท้หม่นมัวกลับมีพลังรุกรบระคนอยู่อย่างประหลาด 


ในหน้าประวัติศาสตร์มีผู้คนเข้ามาและจากไป จากไปแล้วเข้ามาซ้ำๆ การจากไปของบางคนคือการดำรงอยู่ การจากไปของบางคนเป็นเพียงชั่วครู่ชั่วยาม รอการพบเจอ ทั้งหมดเป็นความทรงจำที่งดงาม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นความทรงจำเหล่านั้นจะยังคงงดงามเสมอ ความฝันยังคงเด่นโดยท้าทายในค่ำคืนที่มืดมิด ผู้คนย่อมมีแนวทางของตัวเองและยังคงความเป็นตัวตนของคนคนนั้น


คิดถึงลุงนวมทอง คิดถึงเพื่อนๆทุกคน 


อานนท์ นำภา

เรือนจำพิเศษกรุงเทพ

28 ต.ค. 68


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อานนท์นำภา #มาตรา112

ศาลปกครองกลางพิพากษายกฟ้องคดี IO ชี้ว่า เอกสารคำสั่งปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารของกองทัพมีอยู่จริง และปฏิบัติการ IO ขัดต่อหลักสากลที่รัฐไม่ควรใช้กับพลเมืองของตนเอง อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่าการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่ในสื่อออนไลน์อาจเป็นการกระทำส่วนบุคคล มิใช่การดำเนินการของรัฐ จึงยังไม่อาจถือว่ากองทัพบกกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี

 


ศาลปกครองกลางพิพากษายกฟ้องคดี IO ชี้ว่า เอกสารคำสั่งปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารของกองทัพมีอยู่จริง และปฏิบัติการ IO ขัดต่อหลักสากลที่รัฐไม่ควรใช้กับพลเมืองของตนเอง อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่าการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่ในสื่อออนไลน์อาจเป็นการกระทำส่วนบุคคล มิใช่การดำเนินการของรัฐ จึงยังไม่อาจถือว่ากองทัพบกกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี


30 ตุลาคม 2568 ศาลปกครองกลางนัดพิพากษาคดีที่ผู้ฟ้องคดี 3 คน คือ สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระ ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้อำนวยการไอลอว์ และวิญญู วงศ์สุรวัฒน์ สื่อมวลชน ยื่นฟ้องกองทัพบกและผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ขอให้หยุดปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือ IO (Information Operation) 


คดีนี้ยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2564 โดยคำฟ้องในคดีนี้ อาศัยหลักฐานสำคัญจากรายงานของทวิตเตอร์ ที่ตรวจสอบพบว่ามีกลุ่มบัญชีผู้ใช้ปลอมจำนวนหนึ่งที่เชื่อมโยงกับกองทัพบกของไทยใช้แพลตฟอร์มดังกล่าวโพสต์ข้อความโจมตีผู้ฟ้องคดีทั้งสามด้วยถ้อยคำหยาบคาย ประกอบกับมีหลักฐานสำคัญจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลหลายครั้งโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคก้าวไกลและพรรคประชาชน ได้แก่ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ และชยพล สท้อนดี ซึ่งนำเสนอข้อมูลที่ได้รับจากบุคคลในกองทัพ ระบุถึงปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารของกองทัพบก พร้อมแนบเอกสารราชการหลายฉบับที่สั่งการให้เจ้าหน้าที่ของกองทัพบกดำเนินปฏิบัติการ IO อย่างเป็นระบบในลักษณะเทา/ดำ


ก่อนหน้านี้ ศาลปกครองกลางนัดพิจารณาคดีครั้งแรกเมื่อ 15 ตุลาคม 2568 โดยระบุว่า แม้รายงานของบริษัททวิตเตอร์จะชี้ว่า มีกิจกรรมบนโซเชียลมีเดียที่เชื่อมโยงกับกองทัพ และเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับบัญชีปลอมเหล่านั้น แต่การกดไลก์ กดแชร์ แสดงความเห็น อาจเป็นความเห็นส่วนตัวของเจ้าหน้าที่เองก็เป็นได้ ศาลเห็นว่า บัญชีที่ถูกทวิตเตอร์ปิดไป มีลักษณะเป็นสแปม (spam) ซึ่งทุกคนอาจเป็นสแปมได้เช่นกัน อาจเกิดขึ้นได้จากหลายเหตุผล ไม่แน่ชัดว่าเกิดจากสาเหตุใด แม้จะรับฟังได้ว่า มีบัญชีที่เชื่อมโยงกับกองทัพมีการแสดงความเห็นต่อทวิตเตอร์ของผู้ฟ้องคดีจริง แต่ยังไม่อาจระบุได้ว่าเป็นเหตุการณ์ใด และเป็นการแสดงความเห็นส่วนตัวหรือปฏิบัติตามหน้าที่ในราชการ ซึ่งไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะมีความเห็นไปในทางเดียวกันกับผู้ฟ้องคดี จึงยังรับฟังไม่ได้ว่า เจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดี กระทำละเมิดที่ขัดต่อกฎหมาย ตุลาการผู้แถลงคดีจึงมีความเห็นให้ยกฟ้อง


ในวันนี้ (30 ตุลาคม 2568) ศาลปกครองนัดอ่านคำพิพากษา ผู้ฟ้องคดีทั้งสามคนมาศาล พร้อมด้วยสื่อมวลชนและประชาชนมาสังเกตการณ์การอ่านคำพิพากษา ส่วนฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดีนั้น ไม่มีใครมาศาล โดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบ


ต่อมา ไอลอว์ ได้เผยแพร่คำพิพากษาฉบับเต็ม ดังนี้ 


10.05 น. ศาลเริ่มอ่านคำพิพากษา โดยระบุว่าจะอ่านคำพิพากษาโดยสรุปเนื่องจากเปิดให้ผู้ฟ้องคดีคัดคำพิพากษาฉบับเต็ม พร้อมแจ้งสิทธิในการอุทธรณ์ไว้ที่ 30 วัน ตามมาตรา 73 ของพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542


ศาลชี้ ปฏิบัติการ IO ขัดหลักสากล แต่พึงระวัง “การสื่อสารเชิงบวก” จะกลายเป็น IO


ศาลระบุว่า คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กองทัพบก) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (ผู้บัญชาการทหารบก หรือ ผบ.ทบ.) และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกองทัพบก กระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสามหรือไม่


พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โดยหลักสากล รัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องไม่กระทำการปฏิบัติการ IO ต่อพลเมืองของตนเอง เนื่องจากประชาชนไม่อาจมีสถานะเป็นศัตรูของชาติได้ 


การดำเนินปฏิบัติการ IO เพื่อขัดขวาง ปฏิเสธ โจมตี ด้อยคุณค่า หรือสร้างความเสียหายต่อข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่โดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ต่างทางการเมือง โดยเฉพาะผู้ที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใด โดยอาศัยงบประมาณแผ่นดินและทรัพยากรของรัฐที่มาจากภาษีประชาชน มาดำเนินการเพื่อนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง บิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสี ใส่ความด้วยข้อมูลเท็จ เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐบาล โดยไม่ได้มุ่งหวังจะให้เกิดความสงบหรือความสามัคคีในหมู่ประชาชนอย่างแท้จริง และไม่ใช่ภารกิจรักษาความมั่นคงของรัฐ ย่อมเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และคุกคามสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนพลเมืองโดยอำนาจรัฐ 


การปฏิบัติต่อพลเมืองดั่งเป็นอริราชศัตรูของประเทศย่อมมิอาจกระทำได้ ดังนั้น การปฏิบัติการด้านไซเบอร์ของกองทัพบก โดยผบ.ทบ. และเจ้าหน้าที่ในสังกัดของกองทัพบก ในการ เข้าถึง ติดตาม รวบรวมบัญชีโซเชียลมีเดียของประชาชนพลเมือง แล้วนำข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย มาวิเคราะห์ สังเคราะห์เพื่อนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการสื่อสารให้กลุ่มผู้รับข้อมูลเกิดทัศนคติเชิงบวก และสนับสนุนการปฏิบัติงานของกองทัพบกและหน่วยงานความมั่นคง และเพื่อวัตถุประสงค์อื่นใด อันเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และภารกิจของกองทัพบก ตามมาตรา 8 ของพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 (พ.ร.บ. จัดระเบียบกลาโหมฯ) กองทัพบก โดยผบ.ทบ. และเจ้าหน้าที่ในสังกัดของกองทัพบก ต้องปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง มิให้ละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชน อันอาจกลายเป็นปฏิบัติการ IO ที่ขัดหลักสากล หรือเป็นการใช้อำนาจที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือเป็นการใช้อำนาจที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 (พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานและการอุ้มหายฯ) ได้


เอกสารสั่งปฏิบัติการ IO ของกองทัพ มีอยู่จริง


ศาลปกครองกลางพิพากษายกฟ้องคดี IO ชี้ว่า เอกสารคำสั่งปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารของกองทัพมีอยู่จริง และปฏิบัติการ IO ขัดต่อหลักสากลที่รัฐไม่ควรใช้กับพลเมืองของตนเอง อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่าการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่ในสื่อออนไลน์อาจเป็นการกระทำส่วนบุคคล มิใช่การดำเนินการของรัฐ จึงยังไม่อาจถือว่ากองทัพบกกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีดีนี้ ฝ่ายผู้ฟ้องคดีนำเสนอหลักฐานเป็นเอกสารราชการ 5 ฉบับ จัดทำโดยกองทัพภาคที่ 2 ที่สั่งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารต่อประชาชนผู้เห็นต่างทางการเมือง โดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองโต้แย้งว่า บันทึกข้อความส่วนราชการ 3 ฉบับที่ผู้ฟ้องคดีเสนอนั้นเป็นเอกสารปลอม 


ศาลพิเคราะห์บันทึกข้อความส่วนราชการ 3 ฉบับ เห็นว่า เอกสารมีรูปแบบเป็นไปตามระเบียบของเอกสารราชการ มีการระบุเลขหน่วยงานราชการครบถ้วน และมีการลงนามของผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นไปตามลำดับเกี่ยวเนื่องกัน เนื้อหาในบันทึกข้อความทั้ง 3 ฉบับยังสอดคล้องกัน และตรงกับบันทึกส่วนราชการอีก 2 ฉบับที่มีอยู่ 


อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้ติดตามหาตัวผู้กระทำผิดแต่อย่างใด ข้อโต้แย้งของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างความมีอยู่ของเอกสารดังกล่าวซึ่งมีความสอดคล้องต้องกันกับเอกสารราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น ศาลจึงเห็นว่า รับฟังไม่ได้ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม ตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้าง


ปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปมีว่า กองทัพบก โดยผบ.ทบ. จัดให้มีเจ้าหน้าที่ผู้ทำงานปฏิบัติการข่าวสารในสังกัดของกองทัพบกหรือไม่ 


เมื่อวินิจฉัยแล้วว่า รับฟังไม่ได้ว่าเอกสารบันทึกข้อความส่วนราชการทั้ง 3 ฉบับเป็นเอกสารปลอม เนื้อหาสาระสำคัญในบันทึกข้อความข้างต้นจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ประกอบกับได้พิจารณาบันทึกข้อความส่วนราชการอีก 1 ฉบับ ที่มีสาระสำคัญคือ ให้ “แยกงานการสร้างการรับรู้และความเข้าใจของกองทัพบกออกจากงานการปฏิบัติการ IO” โดยงานสร้างการรับรู้ดังกล่าว มุ่งหมายเพื่อสื่อสารข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของกองทัพบก ให้ผู้รับข้อมูลเข้าใจอย่างถูกต้อง มีทัศนคติเชิงบวก และสนับสนุนการปฏิบัติงานของกองทัพบก กองทัพไทย และหน่วยงานความมั่นคง 


ข้อเท็จจริงดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงการมีอยู่ของ “งานปฏิบัติการ IO” ภายในกองทัพบก และสอดคล้องกับบันทึกข้อความส่วนราชการ 3 ฉบับดังกล่าว จึงรับฟังว่า กองทัพบก โดยผู้บัญชาการทหารบกได้จัดให้มีเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านปฏิบัติการ IO ในสังกัด เพื่อดำเนินงานข่าวสาร ประชาสัมพันธ์ และการปฏิบัติการด้านไซเบอร์อยู่ก่อนแล้ว รวมทั้งมีแผนแยกงานการสื่อสารข้อมูลเพื่อสร้างทัศนคติเชิงบวกและสนับสนุนการปฏิบัติงานของกองทัพ อันมีลักษณะเป็นงานประชาสัมพันธ์ ออกจากปฏิบัติการ IO


ศาลชี้ คอมเมนต์ต่อผู้ฟ้องคดี อาจเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของทหาร


ส่วนประเด็นที่ว่า มีการเข้าถึง ติดตาม รวบรวมบัญชีโซเชียลมีเดียของประชาชนจำนวนมาก รวมถึงของผู้ฟ้องคดีทั้งสามหรือไม่ และการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น


ศาลปกครองเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสามมีผู้ติดตามจำนวนมาก เป็นไปได้ที่จะปรากฏอยู่ในรายชื่อบัญชีที่ถูกติดตาม ซึ่งผู้ฟ้องคดีทั้งสามถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่มีท่าทีเป็นลบต่อรัฐบาล ซึ่งการดำเนินการเพื่อสื่อสารข้อมูลของกองทัพ และเพื่อตรวจสอบข้อมูล ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ถือเป็นการดำเนินการในอำนาจหน้าที่ 


นอกจากนี้ บัญชีโซเชียลมีเดียของผู้ฟ้องคดีทั้งสามเปิดให้เข้าถึงแบบสาธารณะ หมายความว่าทุกคน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐ สามารถเข้าชมและติดตามได้เช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป จึงฟังไม่ได้ว่า เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 


ส่วนประเด็นที่ว่า การจัดกลุ่มโซเชียลมีเดียของประชาชนจำนวนมาก รวมถึงผู้ฟ้องคดีทั้งสามออกเป็น “ชุดบุคคลที่เป็นลบต่อรัฐบาล” และ “ชุดบุคคลที่เป็นบวกต่อรัฐบาล”​ เห็นว่า ข้อมูลดังกล่าวมาจากข้อมูลที่ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร เตรียมไว้สำหรับอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ซึ่งเป็นเพียงการรวบรวมลิงก์ URL ของข้อมูล คอนเทนต์ ข่าว หรือข้อมูลความคิดเห็นทั้งเชิงลบและเชิงบวกต่อรัฐบาล แต่ก็เห็นได้ว่า เป็นการจัดกลุ่มโดยยึดถือเอาข้อมูลที่แสดงออกเป็นสำคัญ มิใช่การจัดกลุ่มโดยยึดถือเอาตัวบุคคลเป็นสำคัญ จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า มีการจัดกลุ่มบัญชีโซเชียลของบุคคลต่างๆ เป็นชุดบุคคลที่เป็นลบกับรัฐบาล และเป็นบวกกับรัฐบาล ตามที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสามกล่าวอ้าง


ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไป คือ ผู้ถูกฟ้องคดีหรือเจ้าหน้าที่ภายใต้สังกัดของผู้ถูกฟ้องคดี เป็นผู้โพสต์ข้อความหรือไม่ ศาลเห็นว่า บัญชีของผู้ฟ้องคดีมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก มีบัญชีบางส่วนแสดงความเห็นไม่ถูกต้อง บิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสี ใส่ความด้วยข้อมูลเท็จ สร้างความไม่ชอบธรรมในการใช้สิทธิเสรีภาพ ทั้งนี้ โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ที่คนสามารถสร้างคอนเทนต์ให้คนได้แสดงความคิดเห็นเชื่อมโยงเครือข่ายเข้าด้วยกัน คนที่ไม่ชอบใจก็อาจแสดงความเห็นในเชิงลบได้ การเข้าถึงโดยบุคคลที่เห็นต่างจึงเกิดขึ้นได้ ส่วนบัญชีที่ไม่ระบุตัวตนหรือบัญชีอวตาร ก็อาจถูกสร้างโดยผู้ใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ถูกฟ้องคดี แม้จะรับฟังได้ว่า มีบัญชีจำนวนหนึ่งนำเสนอข้อความไม่ถูกต้อง บิดเบือน ใส่ร้ายผู้ฟ้องคดี แต่ก็รับฟังไม่ได้ว่า เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ของกองทัพบก


แม้ข้อมูลจากรายงานที่เผยแพร่ของบริษัท ทวิตเตอร์ เป็นข้อมูลกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับกองทัพ เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีเข้ามามีส่วนร่วมกับบัญชีโซเชียลมีเดียของผู้ฟ้องคดี แต่การกดไลก์ กดแชร์ แสดงความเห็น อาจเป็นความเห็นส่วนตัวของเจ้าหน้าที่เองก็เป็นได้ บัญชีที่ถูกทวิตเตอร์ปิดไปเหล่านั้นมีลักษณะเป็นสแปม ซึ่งทุกคนอาจเป็นสแปมได้เช่นกัน อาจเกิดขึ้นได้จากหลายเหตุผล แต่ก็ไม่แน่ชัดว่าสแปมเกิดจากสาเหตุใด หรือการทวีตครั้งใด แม้จะรับฟังได้ว่า มีบัญชีที่เชื่อมโยงกับกองทัพมีการแสดงความเห็นต่อทวิตของผู้ฟ้องคดี แต่ยังไม่อาจระบุได้ว่าเป็นครั้งใด หรือครั้งดังกล่าวเป็นการแสดงความเห็นส่วนตัวหรือปฏิบัติตามหน้าที่ ซึ่งไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะมีความเห็นไปในทางเดียวกันกับผู้ฟ้องคดี จึงยังรับฟังไม่ได้ว่า เจ้าหน้าที่ในสังกัดกองทัพบกกระทำละเมิดที่ขัดต่อกฎหมาย


โดยที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 บัญญัติเกี่ยวกับการละเมิดไว้ว่า การกระทำใดที่จะถือว่าเป็นการละเมิด ต้องประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก คือ ต้องขัดต่อกฎหมาย ต้องก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่น และต้องเป็นสาเหตุโดยตรงที่ก่อให้เกิดความเสียหาย กรณีนี้ เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่า รับฟังไม่ได้ว่ากองทัพบก โดย ผบ.ทบ. และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกองทัพบกใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ. ป้องกันการทรมานและการอุ้มหายฯ จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า กองทัพบก โดย ผบ.ทบ. และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกองทัพบกกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสาม


พิพากษายกฟ้อง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ศาลปกครองกลาง #กองทัพบก #ปฏิบัติการIO

กป.อพช. พร้อมเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ ออกแถลงการณ์ขอให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญของโลก หน้าสถานทูตสหรัฐฯ

 


กป.อพช. พร้อมเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ ออกแถลงการณ์ขอให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญของโลก หน้าสถานทูตสหรัฐฯ


30 ตุลาคม 2568


ตามที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาและนายกรัฐมนตรีของไทยร่วมกันลงนาม Memorandum of Understanding Between the Government of the United States of America and the Government of the Kingdom of Thailand Concerning Cooperation to Diversify Global Critical Minerals Supply Chains and Promote Investments หรือ ‘MOU’ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) และเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ มีความเห็นดังนี้


1. MOU ที่ท่านและนายกรัฐมนตรีของไทยควรร่วมลงนามร่วมกัน คือ MOU ว่าด้วยความร่วมมือในการแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่กระจายเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารจากการดำเนินการทำเหมืองแร่สำคัญ แร่หายาก และแร่อื่น ๆ ในเขตรัฐฉานของประเทศพม่า ซึ่งก่อมลพิษอย่างรุนแรงลงสู่แม่น้ำกก สาย รวกและโขงในประเทศไทย ส่งผลเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศของประชาชนไทยและประชาชนในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างอยู่ในขณะนี้ และในอนาคตอีกยาวไกล


ดังที่สถานทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย โดยเอกอัครราชทูตคนก่อน ๆ ได้เคยแสดงบทบาทวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของสาธารณรัฐประชาชนจีนในการสร้างเขื่อนจำนวนมากที่ตอนบนของแม่น้ำโขง ซึ่งขัดขวางการไหลของกระแสน้ำมายังลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง (และมีความพยายามที่จะระเบิดแก่งแม่น้ำโขงระหว่างพรมแดนไทยและลาว นำมาซึ่งการทำลายระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพครั้งใหญ่ ที่เอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง) อันเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ประเทศในลุ่มน้ำโขงตอนล่างประสบภัยแล้งที่เลวร้ายที่สุดในรอบทศวรรษ


2. รัฐบาลไทยในอดีตเคยกระทำผิดพลาดมาแล้วสองครั้งจากการลงนามใน ‘สัญญาให้สิทธิสำรวจและผลิตแร่โปแตชในจังหวัดอุดรธานี’ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2527 โดยให้สิทธิสำรวจและทำเหมืองแร่โปแตชครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่มากประมาณ 1.5 ล้านไร่ และ ‘สัญญาว่าด้วยการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ แปลงที่สี่ พื้นที่น้ำคิว-ภูขุมทอง’ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2534 โดยให้สิทธิสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำในหลายอำเภอของ จ.เลย บนพื้นที่ขนาดใหญ่ประมาณ 340,615 ไร่ ซึ่งสัญญาทั้งสองกระทำเกินไปกว่ากรอบของบทบัญญัติใด ๆ ในกฎหมายแร่ของไทย อันเป็นกฎหมายหลักในการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการให้สิทธิสำรวจและทำเหมืองแร่ทุกชนิดและประเภท


เนื่องจากเป็นการทำสัญญาจับจองพื้นที่แหล่งแร่เพื่อการ ‘สำรวจ’ และ ‘ทำเหมืองแร่’ ล่วงหน้าไว้ก่อน ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้รับ ‘สัมปทานสำรวจแร่’ และ ‘สัมปทานทำเหมืองแร่’ ตามกฎหมายแร่ซึ่งเป็นระบบสัมปทานปกติแต่อย่างใด รวมถึงไม่มีบทบัญญัติมาตราใดในกฎหมายแร่ของไทยที่อนุญาตให้ทำสัญญาลักษณะนี้ได้ จึงกลายเป็นสัญญาผูกขาดที่ครอบลงไปในระบบสัมปทานปกติอีกชั้นหนึ่ง อีกทั้งสัญญาทั้งสองมีลักษณะพิเศษอีกประการหนึ่ง คือ เป็นสัญญานิรันดรที่ไม่ระบุวันสิ้นสุดสัญญาเอาไว้ ต่างกับกฎหมายแร่ของไทยที่ระบุวันสิ้นสุดอายุสัมปทานสำรวจแร่และสัมปทานทำเหมืองแร่เอาไว้ (เช่น อาชญาบัตรพิเศษเพื่อสำรวจแร่คราวละ 5 ปี ประทานบัตรเพื่อทำเหมืองแร่คราวละ 25 – 30 ปี เป็นต้น) จึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ไม่ต่างจาก MOU อันเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎหมายแร่ของไทย


3. ทะเลฝั่งอันดามันของไทยมีการเปลี่ยนผ่านอย่างมีนัยสำคัญไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าเรื่องหนึ่ง คือ การพลิกโฉมจากการทำเหมืองแร่ดีบุกไปสู่การท่องเที่ยว ซึ่งการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวต้องแลกมาด้วยความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นมีการเผาโรงงานแทนทาลัมที่ จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2529 ซึ่งแร่แทนทาลัมเป็นแร่สำคัญชนิดหนึ่งใน MOU ดังนั้น MOU จะเกิดการกระตุ้นให้ผืนแผ่นดินภาคต่าง ๆ ของไทยต้องกลายเป็นที่รองรับการลงทุนจากต่างประเทศที่ประสงค์จะเข้ามาทำการขอสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่สำคัญและแร่หายากมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในภาคใต้ของไทยนั้น แร่สำคัญอย่างเช่นแทนทาลัม และแร่หายากส่วนใหญ่ มักอยู่ร่วมกับสายแร่ดีบุก 


สหรัฐฯจึงไม่ควรกระตุ้นให้รัฐบาลไทยผลักดันนโยบายจากผลของ MOU ที่จะเปลี่ยนโฉมทะเลอันดามัน ธรรมชาติอันสวยสดงดงาม ไปเป็นเมืองมลพิษจากการทำเหมืองแร่สำคัญและแร่หายาก 


4. หากสหรัฐฯประสงค์จะลดอิทธิพลและอำนาจผูกขาดของจีนในการครอบครองแร่สำคัญและแร่หายากของโลก ด้วยการดึงไทยและประเทศอื่น ๆ ในเอเชียเข้าร่วม เพราะมองเห็นว่าไทยเป็นช่องทางหรือแหล่งนำเข้าแร่สำคัญและแร่หายากจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะจากพม่าและลาวที่จีนครอบครองแบบผูกขาดแร่ดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว เพื่อหวังว่าจะส่งผ่านแร่ดังกล่าวให้กับสหรัฐฯ นั้น MOU จะตอบสนองความประสงค์ของสหรัฐฯไปในทิศทางที่เลวร้าย ก็เพราะว่า MOU จะทำให้สหรัฐฯกลายเป็นผู้คุ้มครองและปกป้องเส้นทางนำเข้าแร่สำคัญและแร่หายากจากพม่าและลาวทั้งที่ถูกและผิดกฎหมายเข้าไทย โดยไม่สนใจว่าการทำเหมืองแร่สำคัญและแร่หายากจากพม่าจะนำมาซึ่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิต ทรัพย์สิน สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศของประชาชนไทยแต่อย่างใด


5. สหรัฐฯรู้อยู่แล้วว่า แร่สำคัญและแร่หายากหลายชนิดบนผืนแผ่นดินไทยมีจำนวนน้อยมาก ไม่มีความเข้มข้นพอที่จะคุ้มค่าในการลงทุนเชิงพาณิชย์ ดังปรากฎความโง่เขลาของรัฐบาลไทยเมื่อต้นปี 2567 ที่ประโคมข่าวใหญ่โตว่าไทยเป็นแหล่งแร่ลิเทียมอันดับ 3 ของโลก มีปริมาณสำรองถึง 14.8 ล้านตัน ด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็นตัวเลขของแร่ลิเทียมบริสุทธิ์ ทั้งที่ปริมาณดังกล่าวคือแร่ลิเทียมในเนื้อหิน ซึ่งหากสกัดให้บริสุทธิ์แล้วจะได้เพียง 31,080 ตันเท่านั้น ซึ่งเป็นการรีดเลือดปู ต้องแลกกับผลกระทบรุนแรงในทุกด้าน เพราะต้องใช้น้ำและสารสกัดปริมาณมากที่มีความเป็นพิษสูงมาก และไทยเองก็ยังไม่พร้อมเพราะไม่มีเทคโนโลยีสกัดแร่ลิเทียม แร่สำคัญและแร่หายากชนิดต่าง ๆ ให้บริสุทธิ์ได้


ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา สหรัฐฯควรตระหนักถึงความเป็นมิตรต่อประชาชนไทย ที่ลึกซึ้งกินใจมากกว่าความเป็นมิตรเฉพาะรัฐบาลไทย ที่วนเวียนอยู่บนเส้นทางที่กดประชาธิปไตยให้ตกต่ำ ถดถอยและล้าหลังลงทุกวัน สหรัฐฯจึงไม่ควรมองไทยเป็นสมรภูมิของการต่อสู้ช่วงชิงแร่สำคัญและแร่หายากจากจีน เพราะการกระทำเช่นนี้นำมาซึ่งการทำลายสุขภาวะของประชาชนไทยที่เป็นมิตรต่อท่าน และนำมาซึ่งการร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการทำลายสุขภาวะของประชาธิปไตยของประชาชนไทย จึงขอให้สหรัฐฯได้ดำเนินการยกเลิก/เพิกถอน MOU ดังกล่าวโดยเร็วที่สุด


ด้วยความเคารพ

คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.)

เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ ประกอบด้วยรายชื่อองค์กรด้านล่างนี้

1. กลุ่มรักษ์ภูเต่า 

2. กลุ่มอนุรักษ์น้ำซับคำป่าหลาย

3. กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้านนครสวรรค์

4. กลุ่มอนุรักษ์เขาเหล่าใหญ่-ผาจันได

5. กลุ่มรักษ์ภูซำผักหนาม ลุ่มน้ำเซิน ไม่เอาเหมืองแร่

6. กลุ่มรักษ์อำเภอวานรนิวาส

7. กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด

8. กลุ่มรักษ์ดงลาน

9. กลุ่มรักษ์บ้านแหง

10. กลุ่มเฝ้าระวังอมก๋อย

11. กลุ่มคนดอยเต่าไม่เอาเหมืองแร่

12. เครือข่ายยุติเหมืองแร่เเม่เลียง

13. เครือข่ายรักษ์ลุ่มน้ำลา

14. เครือข่ายรักษ์แม่น้ำกกท่าตอน – แม่อาย

15. เครือข่ายรักษ์เขาเตาปูน

16. กลุ่มคนรักษ์หัวหวาย

17. กลุ่มรักษ์เขากะลา

18. กลุ่มอนุรักษ์เขาหินจอก

19. กลุ่มรักษ์เขาโต๊ะกรัง 

20. เครือข่ายพิทักษ์เขาเตราะปลิง

21. เครือข่ายเยาวชนพิทักษ์เขาลาเมาะ

22. ศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชน

23. มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ

24. มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม

25. โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่

26. ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย

27. Radical Grandma Collective


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #สิ่งแวดล้อม #rareearth #แรร์เอิร์ธ #สถานทูตสหรัฐอเมริกา #สหรัฐอเมริกา  #USA #DonaldTrump #อนุทิน

ศาลปกครองกลาง #ยกฟ้อง คดี IO กองทัพบก คดีที่ สฤณี-ยิ่งชีพ-วิญญู ยื่นฟ้องกองทัพบกและผบ.ทบ. ข้อหาขอให้หยุดปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO) โจมตีประชาชนที่เห็นต่างทางการเมือง โดยจะเดินหน้าอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไป

 


ศาลปกครองกลาง #ยกฟ้อง คดี IO กองทัพบก คดีที่ สฤณี-ยิ่งชีพ-วิญญู ยื่นฟ้องกองทัพบกและผบ.ทบ. ข้อหาขอให้หยุดปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO) โจมตีประชาชนที่เห็นต่างทางการเมือง โดยจะเดินหน้าอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไป


วันนี้ (30 ตุลาคม 2568 ) เวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 2 ศาลปกครองกลาง นัดฟังคำพิพากษา คดีที่ สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์, ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมาย หรือไอลอว์ (iLaw) และวิญญู วงศ์สุรวัฒน์ พิธีกรผู้จัดรายการ สื่อมวลชน เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกองทัพบก และผู้บัญชาการกองทัพบกต่อศาลปกครอง ขอให้หยุดการใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO) โจมตีประชาชนที่เห็นต่างทางการเมือง ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหาย โดยถือเป็นคดีแรกในประวัติศาสตร์ที่ประชาชนยื่นฟ้องกองทัพบก และผู้บัญชาการกองทัพบกต่อศาลปกครอง


ล่าสุด เวลา เวลา 10.50 น. สฤณี-ยิ่งชีพ-วิญญู ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน หลังศาลปกครองกลาง “ยกฟ้อง” คดีหยุดปฏิบัติการIO โดยระบุว่า คดีนี้ศาลยอมรับข้อเท็จจริงจากผู้ฟ้องคดีแทบทั้งหมดแล้ว และไม่เชื่อข้อโต้แย้งที่บอกว่าเอกสารราชการเป็นเอกสารปลอม


ศาลเชื่อว่าเอกสารสั่งการของกองทัพบกเป็นเอกสารจริง รวมถึงศาลเชื่อรายงาน Twitter กรณีบัญชีในกองทัพมาคอมเม้นต์ผู้ฟ้องคดี


แต่ศาลเห็นว่า เจ้าหน้าที่ในสังกัดอาจแสดงความเห็นส่วนตัว เห็นต่างต่อผู้ฟ้องคดี ไม่ใช่ปฏิบัติการ ผู้ฟ้องคดีนี้ทั้ง 3 ราย จึงประสงค์จะใช้สิทธิ์อุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไป


โดยสฤณี อาชวานันทกุล ได้โพสข้อความผ่านเฟซบุ๊คระบุว่า สรุปคำตัดสินศาลปกครองเมื่อเช้า ที่พวกเราสามคนฟ้องกองทัพบกและ ผบ.ทบ. ข้อหาทำ IO ศาล “ยกฟ้อง” โดยสรุปคือศาลมองว่า


- ตามหลักสากลกองทัพทำ IO กับประชาชนไม่ได้ เพราะประชาชนไม่ใช่ศัตรู

- ข้ออ้างของกองทัพที่ว่า คำสั่งให้ทำ IO เป็นเอกสารปลอม ทำขึ้นโดยผู้ไม่หวังดีนั้น ฟังไม่ขึ้นเพราะไม่เคยไปร้องทุกข์เลย (แสดงว่าศาลเชื่อว่า เป็นเอกสารจริง)

- ส่วนรายงานของทวิตเตอร์ ศาลมองว่าเป็นเรื่องสแปม ใครๆ ก็โดนสแปมได้ (ทั้งที่รายงานจริงๆ เป็นเรื่อง IO ที่โยงกับกองทัพบก ไม่เกี่ยวกับสแปม)

- มองว่าเจ้าหน้าที่ที่มาด้อยค่าพวกเรา อาจเป็นการแสดงความเห็นส่วนตัวก็ได้ (ไม่ใช่เพราะโดนสั่งให้ทำ IO)


พวกเราจะเดินหน้าอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไป และเมื่อได้คำตัดสินฉบับเต็มแล้ว จะเขียนบทความสรุปข้อสังเกตของตัวเอง เปรียบเทียบกับรายงาน กสม. ที่ชี้ชัดว่ากองทัพทำ IO ละเมิดสิทธิ แล้วนำมาแชร์ต่อไป

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ศาลปกครองกลาง #กองทัพบก #ปฏิบัติการIO










"กกต." ประกาศพร้อมจัดเลือกตั้งควบประชามติ หากรัฐบาลกำหนด 29 มี.ค. - ขีดเส้นส่งคำถามแรกไม่เกิน 13 ม.ค. 69 และขอเวลาทำงาน 75 วัน ก่อนหย่อนบัตร ตามสี ตามกล่อง ถ้าหย่อนผิดไม่ถือเป็นบัตรเสีย แค่พลัดหลง นับคะแนนต่อได้ ย้ำ ประชามตินอกเขตได้ในวันจริงเท่านั้น ส่วนนอกราชอาณาจักร กต.รับผิดชอบนับผลประชามติ

 


"กกต." ประกาศพร้อมจัดเลือกตั้งควบประชามติ หากรัฐบาลกำหนด 29 มี.ค. - ขีดเส้นส่งคำถามแรกไม่เกิน 13 ม.ค. 69 และขอเวลาทำงาน 75 วัน ก่อนหย่อนบัตร ตามสี ตามกล่อง ถ้าหย่อนผิดไม่ถือเป็นบัตรเสีย แค่พลัดหลง นับคะแนนต่อได้ ย้ำ ประชามตินอกเขตได้ในวันจริงเท่านั้น ส่วนนอกราชอาณาจักร กต.รับผิดชอบนับผลประชามติ


วันนี้ (30 ตุลาคม 2568) ที่โรงแรมเซ็นทาราไลฟ์ ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ​ กกต.​ กล่าวถึงประเด็นการเตรียมการเลือกตั้ง ว่า กกต.มีความพร้อมในการจัดการเลือกตั้งทั่วไป พร้อมการทำประชามติ​ร่างแก้ไข​รัฐธรรมนูญ​และ​การยกเลิก​ MOU 2543-2544 แต่​ ก​กต.เป็นเพียงปลายทางที่ต้องรอความพร้อม​ หลังรัฐบาลและรัฐสภา​ ตัดสินใจและประสานการดำเนินการ จึงยังไม่สามารถตอบกำหนดการ "วัน-เวลา" ได้ชัดเจน


สิ่งที่ต้องบริหารจัดให้ดี​ คือ​ กรอบเวลา​ เพราะการเลือกตั้งกำหนด​ต้องจัดการเลือกตั้งไม่น้อยกว่า​ 45 วัน ไม่เกิน 60 วันหลังนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา​ แต่การทำประชามติ ต้องไม่น้อยกว่า 60 วัน ไม่เกิน 150 วัน​ หากสิ่งใดคาดเคลื่อนไป​ ก็อาจทำให้การเลือกตั้งไม่สามารถทำพร้อมกับการจัดทำประชามติ ทั้ง 2 เรื่องได้ ซึ่งรัฐบาลและรัฐสภาต้องพิจารณาตัดสินใจ


"เมื่อยึดตาม MOA ผู้ริเริ่มแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือ รัฐสภา และ ครม. ต้องเป็นผู้ส่งเรื่องให้ กกต. ถ้าดูตามข่าว คงเข้าใจตรงกันว่าเป็นสถานการณ์ปลายปิด วันเลือกตั้งเหมือนถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะผู้มีอำนาจได้ประกาศเจตนารมณ์ไว้ล่วงหน้า อีกประมาณ 5 เดือน รัฐสภาจะมีเวลาเท่าใดในการจัดทำประเด็นเพื่อถามประชามติ ส่งให้ ครม. แล้ว ครม. จึงส่งให้ กกต. ตอนนี้จึงยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นไปตามกรอบเวลาหรือไม่"


นายแสวง​ ยังกล่าวต่อด้วยว่า​ ทั้งเรื่อง MOU และเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ​มีความซับซ้อน โดยผู้จัดทำข้อมูลเป็นหนังสือส่งไปตามบ้านของประชาชนได้ศึกษาก่อน คือรัฐสภา แต่ก็ไม่ทราบว่าผู้จัดทำจะส่งมากี่หน้า จึงได้ร้องขอว่าให้เพียงพอกับประชาชนสามารถเข้าใจได้ ซึ่งการดำเนินการเรื่องนี้​ กกต.ขอเวลา 75 วัน​ นับถอยหลังจากกรอบเวลาที่รัฐบาล​ วางกรอบเวลาไว้ว่าจะเลือกตั้งวันที่ 29 มี.ค.2569​


อย่างไรก็ตาม กกต.ไม่มีปัญหาในเรื่องการจัดการเลือกตั้ง และทำประชามติ ในคราวเดียวกัน แต่ถ้าเป็นไปตามที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย บอกว่า จะมีการเลือกตั้ง 29 มี.ค.2569 กกต.ต้องการเวลาในการให้ความรู้ และเผยแพร่ให้ประชาชนเข้าใจในประเด็นที่จะมีการทำประชามติทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ MOU ซึ่งกรอบตามกฎหมายกำหนดให้ทำไม่น้อยกว่า 60 วัน แต่ไม่เกิน 150 วัน หากกำหนดที่ 60 วัน กกต.ก็สามารถทำได้ แต่ค่อนข้างเหนื่อย จึงต้องการเวลา 75 วัน นับย้อนจากวันที่จะเลือกตั้งและประชามติ ในวันที่ 29 มี.ค.2569


นายแสวง กล่าวต่อว่า ตามข่าวเป็นปลายปิด​ คือ มีการประกาศเจตนามรมณ์ของผู้มีอำนาจว่าจะยุบสภาวันไหน​ ซึ่งก็ต้องนับย้อนขึ้นมา สภาก็ต้องทำคำถามให้เสร็จก่อน​ ส่วนประเด็น MOU เป็นเรื่องที่​ ครม. บอกได้เลย ประเด็นสำคัญอยู่ที่​ร่างรัฐธรรมนูญ​ ยังไม่รู้ว่ามีกี่คำถาม ถามอะไรบ้าง และเสร็จวันไหน ขณะนี้จึงยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นไปตามเวลาที่กำหนดหรือไม่


"ถ้าล่าช้า บริหารไม่ดี เวลาตามกฎหมายที่กำหนดให้จัดเลือกตั้งกับที่กำหนดให้ทำประชามติมีความเหลื่อมกัน กรณีการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น อยู่ที่รัฐสภาว่าจะส่งคำถามแรกมาที่ กกต.เมื่อใด หากส่งช้าก็จะกินระยะเวลา 75 วัน และทำให้การออกเสียงประชามติและการเลือกตั้ง สส.ไม่สามารถจัดในวันเดียวกันได้"


เลขาฯ กกต. กล่าวว่า ส่วนเรื่องงบประมาณ ไม่ว่าการเลือกตั้ง หรือประชามติต้องใช้เงินแน่นอน งบฯ ที่ตั้งทุกครั้ง จะใช้จ่ายตามหลักการของกฎหมาย เพื่อความโปร่งใส การมีส่วนร่วม การอำนวยความสะดวก เหตุที่งบฯ สูงเพราะมีจำนวนผู้มีสิทธิเพิ่มเป็น 53 ล้านคน จำนวนหน่วยเลือกตั้งต้องหาใหม่ เพราะมีการเพิ่มการทำประชามติควบคู่ไปด้วย โดยจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 แสนหน่วย จากเดิมมี 9 หมื่นหน่วย รวมถึงต้องมีการเพิ่มวัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องมีการเพิ่มเติม จึงต้องเพิ่มเจ้าหน้าที่ กปน. รวมแล้วประมาณ 14 คนต่อหน่วย


ทั้งนี้ ต้องมีการขานคะแนนพร้อมกัน โดยบัตรสีใดก็ให้หย่อนที่กล่องสีนั้น แต่หากหย่อนบัตรผิดกล่อง ไม่ถึงเป็นบัตรเสีย แต่ถือเป็นบัตรพลัดหลง สามารถนำไปนับคะแนนได้ ทั้งนี้ตั้งเป้าบริหารจัดการให้จบในเวลา 23.00 น.


อย่างไรก็ตาม รวม ๆ แล้วต้องทำงานนานกว่า 17 ชั่วโมง จึงต้องเพิ่มค่าตอบแทนให้ด้วย ฉะนั้นโดยสรุปงบฯ กว่า 90% จะลงไปตรงนี้หมด และครั้งนี้กฎหมายให้คนไทยในต่างประเทศออกเสียงประชามติ หากเลือกตั้งพร้อมประชามติ ซึ่งการนับคำแนนนั้นจะแยกกัน โดยบัตรเลือกตั้ง สส. สถานทูตจะต้องส่งกลับมานับที่ประเทศไทย ส่วนบัตรประชามติกฎหมายให้นับที่หน่วยเลือกตั้ง ดังนั้นกระทรวงการต่างประเทศค่อนข้างลำบาก เพราะมีจำนวนคนทำงานที่สถานทูต 30-40 คนเท่านั้น ทั้งนี้จะมีการทดลองทำประชามติ คู่การเลือกตั้ง สส. 2 หน่วยว่าจะมีการบริหารจัดการการใช้เวลานานแค่ไหน


"ข้อดีการออกเสียงพร้อมกัน คือประหยัดงบฯ แน่นอน ไม่เป็นภาระประชาชนมาวันเดียวก็ได้ออกเสียงไปเลย และอาจได้ความชอบธรรมมาด้วย เพราะสถิติการเลือก สส.มีเปอร์เซ็นต์ผู้มาใช้สิทธิ์สูง อย่างครั้งที่แล้วมาใช้สิทธิ์ กว่า 75% ส่วนการเลือกตั้งอย่างอื่น มีผู้มาใช้สิทธิ์ประมาณ 60% เท่านั้น"


ทั้งนี้ การเลือกตั้ง​ สส. สามารถลงคะแนนล่วงหน้าได้ และลงนอกเขตได้ ส่วนการออกเสียงทำประชามติ ไม่สามารถออกเสียงล่วงหน้าได้ แต่ประชาชนสามารถออกเสียงนอกเขตได้และต้องทำในวันจริงเท่านั้น ดังนั้นประชาชนที่ทำงานอยู่ต่างจังหวัด หรือต่างประเทศก็ไม่ต้องไปลงคะแนน 2 รอบ หรือกลับภูมิลำเนาแต่อย่างใด


เมื่อถามว่า ที่บอกว่าจะมีการรวบประชามติ 1 ใบ เท่ากับวันนั้นจะมีมีบัตร 3 ใบ คือ บัตรลงคะแนน สส.เขต, สส.บัญชีรายชื่อ และบัตรประชามติ จากก่อนหน้านี้บอก 4 ใบ ดังนั้นแนวโน้มป็นอย่างไร นายแสวง กล่าวว่า ยังตอบตอนนี้ไม่ได้ แต่มีเหตุผล จะให้มีกี่ใบไม่ใช่ปัญหาของ​ กกต. แต่ยึดประชาชนเป็นหลัก คือ​ ไม่เพิ่มภาระประชาชน ไม่ทำให้เกิดบัตรเสีย ยกตัวอย่างคำถามประชามติครั้งที่ 1 กับครั้ง 2 นั้น ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าให้ทำรวมกันได้ กับเรื่อง MOU ก็รวมได้ ซึ่งจะประหยัดงบแน่ ๆ กว่า 55 ล้านบาท แต่สิ่งที่จะคิดตามมา คือ ประชาชนจะสับสนหรือไม่ เพราะมีคำถามเยอะ ซึ่งในช่วงการขาน การอ่าน 4 คำถามก็ต้องมี 4 กระดาน ดังนั้นเรากำลังประเมินว่าอะไรจะดีที่สุด


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หาก ตามที่​ กกต.ตั้งกำหนดขอเวลา 75 วัน ในการเผยแพร่ให้ความรู้ประชาชน เพื่อจัดเลือกตั้งพร้อมลงประชามติ ดังนั้นเท่ากับว่า​ผู้เกี่ยวข้องจะต้องส่งประเด็นคำถาม โดยเฉพาะรัฐสภา ต้องส่งคำถามประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญให้กับ​ครม. และส่งให้​ กกต. ก่อนวันที่ 13 ม.ค. 2569 หรืออย่างช้าสุดไม่เกินวันที่ 28 ม.ค.2569 ซึ่งยังอยู่ในกรอบเวลา 60-150 วัน ของกฎหมายประชามติ 2568

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กกต #เลือกตั้ง2569

คนไทยในนิวยอร์กต้อนรับอบอุ่น ‘เท้ง’ ขอบคุณทุกแรงสนับสนุนตั้งแต่ปี 62 - ลั่นพรรคประชาชนแตกต่างจากพรรคอื่นเพราะ “เราเอาจริง”

 


คนไทยในนิวยอร์กต้อนรับอบอุ่น ‘เท้ง’ ขอบคุณทุกแรงสนับสนุนตั้งแต่ปี 62 - ลั่นพรรคประชาชนแตกต่างจากพรรคอื่นเพราะ “เราเอาจริง”


วันที่ 30 ตุลาคม 2568 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โพสต์ภาพลงช่องทางโซเชียลมีเดีย เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568(ตามเวลาในท้องถิ่น) ได้เดินทางไปยังไทยทาวน์เพื่อพบปะและร่วมรับประทานอาหารเย็นกับพี่น้องคนไทยที่อาศัยอยู่ในนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงอนาคตการเมืองไทยและการเลือกตั้งที่ใกล้ถึงในปี 2569 พร้อมทั้งการจัดทำประชามติพร้อมการเลือกตั้ง


โดยหัวหน้าพรรคประชาชนเริ่มกล่าวว่า ในโอกาสที่ตนเองได้เดินทางมาสหรัฐฯ หนึ่งในเหตุผลก็เพื่อร่วมงานดินเนอร์ นิตยสารไทม์ที่ได้เลือกให้ตนเป็นหนึ่งใน 100 Next ประจำปี 2025 ตนต้องขอขอบคุณอดีตพรรคก้าวไกลและผู้สนับสนุนพรรค รวมถึงพี่น้องประชาชนทุกคนที่ได้ลงคะแนนเลือกผมและพรรคมาตั้งแต่ปี 2562 แม้ว่าในปี 2562 ตนเองชนะการเลือกตั้ง สส. เขตบางแคเพียงแค่หลักร้อยคะแนนเท่านั้น และมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร ประชาชนคนไทยที่อาศัยอยู่ต่างแดนทุกคนมีส่วนสำคัญที่ผลักดันตนให้มาทำงานการเมืองจนถึงทุกวันนี้


ผมเข้าใจดีครับว่าหลายคนที่นี่อาจเลือกเดินทางมาใช้ชีวิตต่างแดนไม่ได้เป็นเพราะไม่ชอบประเทศไทย แต่เป็นเพราะคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า และได้รับโอกาสที่มากกว่าในการสร้างความมั่นคงในชีวิต การอยู่ในประเทศไทยจึงอาจจะไม่ตอบโจทย์ เพราะประเทศไทยมีแต่เรื่องที่ไม่ถูกต้อง มีแต่เรื่องสีเทา จึงทำให้คนไทยที่เก่งๆ จำนวนมากรู้สึกว่าอยู่ต่างประเทศแล้วดีกว่า มีความหวังและกำลังใจมากกว่า


ผมอยากชวนคิดว่าปัญหาที่สำคัญของประเทศในขณะนี้คืออะไร ขอให้ลองมองย้อนไป 2 ปีที่ผ่านมาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เรามีนายกรัฐมนตรีทั้งหมด 3 คน ย้อนกลับไป 6 ปี เราพบการยุบพรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนและมีนักการเมืองถูกตัดสิทธิ์เป็นจำนวนมาก การเลือกตั้งปี 66 พรรคที่ชนะการเลือกตั้งกลับไม่ได้เป็นรัฐบาล ซึ่งพวกเราผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณพิธา แต่พวกเราก็ต้องขอบคุณคุณพิธาด้วยเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองแต่ก็ยังทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน ออกเดินทางรอบโลกเพื่อทำความเข้าใจกับนานาชาติว่าประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีศักยภาพอยู่”


นายณัฐพงษ์กล่าวต่อไปอีกว่า สิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นเพราะเรามีกติกาการเมืองที่ไม่เป็นธรรมฉะนั้นพวกเราจึงตัดสินใจเดินหน้าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่พร้อมกับการเลือกตั้ง เพราะไม่ว่าพวกเราจะชนะเลือกตั้งกันอีกสักกี่ครั้ง หากเรายังไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ดีขึ้นได้ ประเทศไทยก็ไม่สามารถที่จะดีขึ้นได้ ฉะนั้นเสียงของทุกท่านในการเลือกตั้งครั้งหน้าจึงมีความหมาย


นายณัฐพงษ์ได้กล่าวถึงสิ่งที่พรรคประชาชนจะทำในการเลือกตั้งข้างหน้าว่าพร้อมเอาจริง ตั้งแต่เรื่องการแก้ไขปัญหาการทุจริต ไปจนถึงการปฏิรูปรัฐราชการให้ทันสมัย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ทุกคนรู้ “What” หมดแล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่สิ่งที่ขาด คือ “When” จะทำเมื่อไหร่? ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลล้วนขาดเจตจำนงทางการเมืองในการทำ เพราะว่ากลไกของระบบการเมืองราชและการเมืองยังคงได้รับผลประโยชน์จากสิ่งต่างๆ เหล่านี้อยู่ ยกตัวอย่างเช่น การกิโยตินกฎหมาย ทุกวันนี้ประเทศเรามีใบอนุญาตต่างๆ เต็มไปหมด กฎระเบียบของรัฐมีมากเกินความจำเป็น ในมุมหนึ่งมันคือช่องทางในการเรียกรับผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่รัฐ บางท่านอยากจะทำธุรกิจหากไม่จ่ายส่วยก็จะไม่ได้รับการอนุมัติหรือล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น เราควรมีกฎระเบียบให้น้อยที่สุดเพื่อให้ประชาชนและภาคเอกชนคล่องตัวในการทำธุรกิจ คำถามก็คือ ที่ผ่านมาทำไมไม่มีใครทำ?


เพราะเรามีระบบส่วยใช่หรือไม่? ตั้งแต่เจ้าหน้าที่รัฐชั้นระดับปฏิบัติการถึงระดับรัฐมนตรี เมื่อตนเข้ามามีอำนาจก็ไม่มีใครลงมือทำลายระบบส่วยสินบน ที่เป็นหม้อข้าวตัวเองอย่างจริงจัง


เรื่องการกระจายอำนาจก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง ทุกคนรู้หมดว่าการกระจายหน้าต้องทำยังไงตั้งแต่ยุค 2540 เวลา 20 กว่าปีแล้ว ทำไมการกระจายในประเทศไทยถึงยังไปไม่ถึงไหน? ลองนึกภาพเมื่อนักการเมืองในอดีต พอได้เข้าไปคุมกระทรวงมหาดไทย พวกเขาจะทำอย่างไรระหว่างเลือกกุมงบประมาณทั้งหมดไว้ไม่กระจายอำนาจ เพื่อหาเงินทอนไปใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า กับการกระจายงบประมาณออกไปทั้งหมดให้ท้องถิ่นจัดการตนเอง ทุกท่านคงนึกออกว่านักการเมืองในอดีตจะเลือกแบบไหน นี่ใช่ไหมคือต้นเหตุของการที่ทำให้การกระจายอำนาจในประเทศเราไม่เดินหน้า คุณภาพชีวิตของคนในต่างจังหวัดจึงไม่เคยดีพอ เพราะนักการเมืองไม่เคยเอาจริง ใช่หรือไม่?


หัวหน้าพรรคประชาชนกล่าวสรุปช่วงท้ายว่าตนเชื่อว่าพรรคประชาชนเรามีความแตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นอยู่เรื่องหนึ่งคือ “เราเอาจริง” เราเป็นคนธรรมดาที่มีเจตจำนงชัดเจนว่าเราต้องการเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลง เรารู้ว่าเรามาทำงานการเมืองเพราะอะไร เราทำงานเพื่อใคร สุดท้ายนี้ตนจึงเชิญชวนทุกท่านร่วมกันปลดปล่อยศักยภาพคืนความปกติให้ประเทศไทย

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน