วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ธิดา ถาวรเศรษฐ : น้ำท่วม!!! ทั้ง “ประเทศไทย” และ “กลไกรัฐสภา” [ถอดเทป] Facebook Live เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 68

 


ธิดา ถาวรเศรษฐ : น้ำท่วม!!! ทั้ง “ประเทศไทย” และ “กลไกรัฐสภา”


[ถอดเทป] Facebook Live อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ

เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568


สวัสดีค่ะ ดิฉันไม่ได้ทำ Facebook Live นานแล้วนะคะ แต่นี่เป็นวาระที่ดิฉันคิดว่ามันเป็นวาระวิกฤตประเทศไทย ที่มีปรากฏการณ์ที่แสดงออก ดิฉันจึงอยากจะให้ชื่อสถานการณ์นี้ว่า “น้ำท่วมประเทศไทย รวมทั้งกลไกรัฐสภา”


ก็คือขณะนี้ถ้าเราถือว่าประเทศเราอยู่ในการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย  กลไกรัฐสภาก็คือการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่จะดำเนินไปเพื่อที่ทำให้ประเทศนี้สามารถขับเคลื่อนไปได้ แต่จากปรากฏการณ์ที่มีน้ำท่วมที่หาดใหญ่และภาคใต้ทั้งหมด มันฟ้องให้เราเห็นว่าน้ำไม่ได้ท่วมเฉพาะหาดใหญ่และภาคใต้ แต่น้ำท่วมประเทศไทยทั้งหมดเลยค่ะ


แล้วก็กลไกรัฐสภาก็น่าสิ้นหวัง เพราะพวกเราก็คงทราบกันดีว่า อาจจะมีการยุบสภา อาจจะมีการเลือกตั้งใหม่ หรือแม้กระทั่งอาจจะมีการรัฐประหารอีกก็ได้ ดังนั้น น้ำที่ท่วมนั้น ไม่ได้ท่วมเฉพาะหาดใหญ่ แต่ท่วมประเทศไทยทั้งหมด มันทำให้ความหวัง ความฝัน และความเจริญก้าวหน้าของประเทศไทย มันถูกท่วมหมดเลย


มันเห็นได้ชัดว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และจะมีการอุ้มสมกันอย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่ก็ยังเป็นรัฐบาลอยู่นั้น เอาเข้าจริงแล้วมันได้แสดงให้เห็นถึงว่าไม่สามารถที่จะดำเนินไปได้อย่างที่ควรจะเป็น แน่นอน! อันนี้มันก็ต้องถือว่าเป็นอุบัติเหตุก็ได้ แต่มันเป็นสิ่งที่ควรจะคาดการณ์ได้ เพราะว่าเมื่อเราผ่านยุคของแห้งแล้ง (เอลนีโญ) มา ก็มาถึงยุคของฝน (ลานีญา) ซึ่งถ้าเป็นรัฐบาลที่ไม่ใช่น้ำท่วมปาก น้ำท่วมสมอง และประเทศไทยไม่ได้จมอยู่ใต้บาดาล มันจะต้องมีการตระเตรียมอย่างเป็นระบบ



เพราะฉะนั้น ดิฉันต้องพูดตอนนี้สั้น ๆ ว่า มันสิ้นหวัง มันแสดงให้เห็นว่าวิถีทางการเมืองในระบบรัฐสภาของการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ถูกครอบงำโดยอำนาจจารีตและอำนาจนิยม ทำให้ประเทศไทยมันจม ๆ จมดิ่งลงไป ไม่อยู่ในสภาพที่จะแข่งขันทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม กับประเทศอื่นได้ และนอกจากนั้นยังจะทำให้ชะตากรรมของคนไทยยิ่งหนักขึ้นทุกวัน เพราะว่าไม่มีระบบการทำงานที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง


การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งในด้านความเจริญ ในด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้แปลว่าประเทศไทยไม่ได้มีระบบที่เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงนี้และยังไม่สามารถปรับได้ เพราะว่าการที่เราอยู่ในรัฐประหารมา 10 ปี เราถูกระบบราชการที่ล้าหลังครอบงำอยู่นาน ไม่มีใครที่จะสามารถสร้างความคิดสร้างสรรค์เพื่อนำไปปฏิบัติจริงได้ และมีระบบราชการที่แข่งขันกับประเทศอื่นได้ พูดตรง ๆ ว่า “นายไม่สั่งก็ไม่ขยับ” และนายที่สั่งก็ต้องรอให้นายที่สูงกว่าสั่ง ไปจนกระทั่งถึงนายสูงสุด ถึงจะมีการขยับ


เพราะฉะนั้น ปรากฏการณ์นี้ สำหรับดิฉันนะมองแล้วก็คือ ค่อนข้างน่าหดหู่มาก เราจะไปคิดแข่งขันทางด้านการศึกษา เรื่อง PISA เรื่องมหาวิทยาลัย เราจะไปแข่งขันเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องต่าง ๆ แม้กระทั่งเรามีปัญหากับกัมพูชา จะทำอะไรยังช้ากว่าเขาเลย เพราะระบบราชการไทยก็คือ ไม่กล้าขยับอะไรถ้านายใหญ่ไม่ได้สั่ง เพราะกลัวว่ามันไม่ตรงกับนาย เพราะฉะนั้นก็อยู่ในสภาพอึกอัก “น้ำท่วม” ทั้งตัวรัฐไทยและประเทศไทย


และเมื่อพูดถึงกลไกรัฐสภา ดิฉันก็ต้องขอเลี้ยวมาในเรื่องที่ดิฉันเกี่ยวข้องอยู่ หลังจากที่เราผ่านเหตุการณ์ “เมษาพฤษภา53” มา ตอนนี้ถ้าเป็นอายุความก็เกือบจะหมดแล้วผ่านมา 15 ปี ของการสูญเสีย แต่ถ้านับย้อนหลังไปเรามีการสูญเสียมากกว่านี้ ยาวนานกว่านี้



จากข่าวล่าสุด (เนื่องจากดิฉันไม่อยากจะใช้เวลานานเกินไป) คือเราสิ้นหวังกับระบบราชการและระบบการเมืองการปกครอง ขีดความสามารถของรัฐไทยแล้ว ดิฉันกำลังจะพูดว่าเราจะสิ้นหวังอีกหรือเปล่า ของความพยายามในการต่อสู้ของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เนื่องจากข่าวจากคณะกรรมาธิการที่มีการพูดเรื่องของการเปลี่ยนแปลงกฎหมายพระธรรมนูญศาลทหาร ที่คุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ได้เขียนลงในเฟซบุ๊ก ท่านผู้ชมก็คงลองไปอ่านดู


ในประเด็นหนึ่งก็คือ ถ้ามีการประพฤติผิดทุจริตมิชอบของทหาร เหมือนกับคดีต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น GT200 เรื่องอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ที่ลอยนวลพ้นผิด ก็ให้ขึ้นศาลอาญาทุจริตเหมือนกับคนอื่นเขา อันนี้จบไปแล้ว (คือมติไม่ผ่านไปขึ้นศาลทหารเหมือนเดิม)


แต่เหลืออีกกรณีที่สำคัญมาก ก็คือที่เราได้นำเสนอต่อคณะกรรมาธิการการทหาร คุณหมอเหวงก็ไปนำเสนออีกครั้งหนึ่ง เป็นกฎหมายของเราเลย นี่เป็นข้อเสนอของเรา 1 ใน 4 ข้อ ดิฉันทบทวนย่อ ๆ ก็ได้ ข้อแรกก็คือการตายเมื่อ “เมษาพฤษภา53” นั้น มีศพที่ยังไม่ได้ทำการชันสูตรพลิกศพให้ถูกต้องตามกฎหมาย มาตรา 150(3) แต่ปรากฏว่า “ดีเอสไอ” รายงานล่าสุดทำตามมาตรา 150(1) ก็คือตายปกติ ทั้งที่ชัดเจนว่ามันเป็นการตายอยู่ในบริเวณเดียวกับที่ได้มีการไต่สวนชันสูตรพลิกศพไปแล้ว และชัดเจนว่าเป็นการตายไม่ปกติจากเจ้าหน้าที่ นี่เป็นเรื่องหลังจากการทำรัฐประหาร ข้อที่ 1 ของเราก็คือให้มีการไต่สวนชันสูตรพลิกศพ 60 กว่าศพที่เหลือให้ถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งศพทหารที่เสียชีวิตที่ถนนดินสอด้วย M67 ทำซิ! ไม่อยากรู้หรือว่าทหารตายเพราะอะไร? แต่ทั้งหมดพอมีรัฐประหาร ทุกอย่างจบหมด! นี่คือข้อเรียกร้องข้อที่ 1 เป็นข้อเรียกร้องตามกฎหมาย


ข้อเรียกร้องข้อที่ 2 ก็คือ นักการเมืองที่มีความเกี่ยวข้องในการปราบปรามประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีการร่วมมือกันเป็นคณะ ศอฉ. ในการปฏิบัติการครั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะนักการเมือง ที่เราได้มีการยื่นจดหมายไปแล้วว่าเราไม่เห็นด้วยกับเขตอำนาจศาลที่โยนไปให้ศาลอาญานักการเมือง (ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง)


เพราะฉะนั้น ข้อ 2 โดยสรุปสั้น ๆ  ก็คือ นักการเมืองที่กระทำผิดอาญาต่อประชาชนให้ขึ้นศาลพลเรือน ไม่ใช่ขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้อ่านข้อคัดค้านที่ทางอธิบดีศาลอาญาโต้แย้งเรื่องเขตอำนาจศาลอันนี้เอาไว้ด้วยในเพจ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ, เฟซบุ๊ก ธิดา โตจิราการ หรือ ยูดีดีนิวส์ - UDD news ก็มีเรื่องนี้ แล้วก็มีในหนังสือที่เรามีการจำหน่ายด้วย



ข้อที่ 3 อันนี้เราก็โต้แย้งเรื่องเขตอำนาจศาลให้มาขึ้นศาลพลเรือนคือ “คนเท่ากัน” คุณจะเป็นนักการเมือง คุณจะเป็นทหาร ก็ต้องมาขึ้นศาลพลเรือน นี่เป็นข้อเรียกร้องข้อที่ 3


แต่ปรากฏว่าในกรณีนี้เราได้ไปยื่นกรรมาธิการ คือจริง ๆ เรายื่นหมดแล้ว ยื่นพรรคเพื่อไทย ยื่นพรรคประชาชน พรรคประชาชาติ ตั้งแต่ตอนเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เพราะดิฉันรู้แล้วว่าปี 2566 ที่มีการเลือกตั้ง ข้อเรียกร้องอะไร ๆ ของประชาชนเขาก็จะรับหมด แล้วถามว่าทำไหม? ไม่ทำ!!! เรายื่นที่พรรค ยื่นที่รัฐบาล แล้วก็ไปยื่นที่รัฐสภา สุดท้ายเราก็ยื่นเป็นกฎหมาย ยื่นที่กรรมาธิการ 2 คณะ กรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ซึ่งมี สส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ส่วนประธานกรรมาธิการคือ นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ จากพรรคประชาชาติ ก็มารับเรื่องไป ก็ดำเนินไปเฉพาะเรื่องอายุความ แต่เรื่องขอให้นักการเมืองที่ทำผิดอาญาต่อประชาชนขึ้นศาลพลเรือนยังไม่ได้ยื่น


แต่ชุดที่ว่า ทหารให้ขึ้นศาลพลเรือน ก็เข้าสู่กรรมาธิการชุดของ สส.วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ท่านแจ้งว่ามีกรรมาธิการคนหนึ่งซึ่งส่งมาในนามของพรรคเพื่อไทย คัดค้านว่าให้ขึ้นศาลทหารเหมือนเดิม ในขณะที่กรรมาธิการหลาย ๆ คนเห็นด้วยว่า ทหารที่ทำความผิดอาญาต่อประชาชนไม่ควรจะอยู่ในเขตอำนาจศาลทหาร


ถามว่าทำไมเราต้องขอให้เปลี่ยนแปลงอย่างนี้? เพราะเราสู้มานานแล้ว ก็คือครั้งแรกเลยศาลอาญาบอกว่าให้เป็นเขตอำนาจศาลทหาร ส่วนนักการเมืองก็ให้ไปเขตอำนาจศาลอาญานักการเมือง โอเค พอเราไปทางโน้น ป.ป.ช.ไม่ส่ง ทำตัวเป็นศาล ส่วนทหาร  ปรากฏว่าอัยการศาลทหารก็สั่งยุติ หลังจากนั้นเราได้มีการฟ้องแย้งว่า การกระทำความผิดมันมีกฎหมายมาตราหนึ่งบอกว่า ถ้าทหารกระทำความผิดร่วมกับพลเรือนให้ขึ้นศาลพลเรือนได้ ก็ไม่สำเร็จ


ถามว่าทำไมเราต้องทำ? และมีข้อเสนอแบบนี้ เพราะกลไกรัฐที่เกี่ยวข้องกับความยุติธรรม นี่มันก็ถูกน้ำท่วมด้วย ไม่รู้น้ำแบบไหน ก็คือเราทำจนหมดทางแล้ว เขตอำนาจศาล โอเค มาศาลทหารเราก็ฟ้อง เพราะฉะนั้น กรรมาธิการและสส. ท่านได้โปรดทราบด้วยว่า การกระทำรัฐประหารและฆ่าประชาชนกลางถนนแล้วพ้นผิดลอยนวลมันมีมายาวนานแล้ว ท่านไม่คิดจะแก้ไขหรือ? แล้วพรรคของท่านเองก็ถูกกระทำอย่างหนัก ได้รับความอยุติธรรม แต่ทำไมท่านไม่คิดที่จะแก้ไขให้ตรงประเด็น (ให้ทหารที่ทำความผิดอาญาและฆ่าประชาชนขึ้นศาลพลเรือนเหมือนประชาชนทั่วไป) นั่นก็คือศพของประชาชนที่มาร่วมกันต่อสู้เพื่อที่จะผดุงความยุติธรรมและให้ความยุติธรรมแก่พรรคของท่านด้วย มาบัดนี้ไม่ได้รับความยุติธรรมเลย แล้วรวมทั้งในอนาคตที่จะเกิดซ้ำ ๆ ขึ้น



ดิฉันจึงอยากจะเรียนมายังคณะกรรมาธิการ ดิฉันทราบมาว่าผู้ที่คัดค้านที่คุณวิโรจน์พูดถึง ท่านได้รับเข็มอะไรก็ไม่รู้ ชื่อเพราะเสียด้วย คือ “เข็มพระดุลยาธิปัตย์” จากกรมพระธรรมนูญ กระทรวงกลาโหม เนื่องในงานวันคล้ายวันสถาปนา กรมพระธรรมนูญ ครบ 119 ปี มิน่าล่ะถึงไม่ยอมที่จะให้ทหารที่ทำผิดอาญาต่อประชาชนขึ้นศาลพลเรือน เพราะท่านกลายเป็นผู้พิทักษ์พระธรรมนูญศาลทหารเดิม ใช่หรือไม่? นี่ดิฉันยังไม่พูดเรื่องพรรคนะ


แต่ถ้าพูดถึงเรื่องพรรค “พรรคเพื่อไทย” ท่านคิดถึง อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต หรือเปล่า และรับบทเรียนหรือเปล่า ว่าท่านได้เคยช่วย ได้เคยจ่ายเงิน ได้เคยช่วยในการต่อสู้คดีความ มีส่วนที่ดีอยู่ แต่ว่าในตอนวิกฤตและจุดตัดสิน ท่านหักมุมทุกที หักมุมทุกครั้ง ท่านไม่ชอบรัฐประหาร ท่านกลัวทหารจะโกรธ แล้วถามว่าที่ทำรัฐประหารทุกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ท่านเกรงใจและกลัวทหารมาก และแต่งตั้ง ผบ.ทบ. ทุกครั้ง เขาก็ทำรัฐประหารท่านทุกครั้ง กลัวยังไงก็มีรัฐประหารเกิดขึ้นได้


สำหรับดิฉัน “ความถูกต้อง” เป็นเรื่องสำคัญที่สุด แต่ถ้ายังมีความเห็นแก่ตัว ยังมีความเห็นแก่เฉพาะส่วนของตัวเอง ซึ่งเป็นความคิดเห็นที่ดิฉันไม่เห็นด้วยนะ ดิฉันว่ามันงี่เง่า และยังไม่รู้จักรับบทเรียน ดิฉันไม่ต้องการซ้ำเติมใคร แต่ว่าครั้งนี้ดิฉันจะพูดถึงเฉพาะ “กลไกรัฐสภา”


กรรมาธิการ ตรงนี้นะ ท่านคณะกรรมาธิการ และรวมทั้งรัฐสภา ท่านจะยอมให้ผ่านอันนี้ไหม? ท่านบอกว่าก็ไปฟ้องศาลทหารซิ ถ้ามันทำได้และมันโอเค มันไม่มีปัญหา ไม่มีใครต้องมาเรียกร้องแบบนี้หรอก ก็เพราะว่ามันฆ่าคนแล้วลอยนวลพ้นผิดมาเป็นเวลายาวนานแล้ว เราถึงต้องมาต่อสู้ ท่านบอกว่าก็ไม่เป็นไร ไปฟ้องที่ศาลทหารก็ได้ ฟ้องมาแล้วค่ะ ฟ้องหลายรอบด้วย และแม้กระทั่งคำไต่สวนการตายบอกชัดเจนว่าเป็นการยิงจากทหาร และในการไต่สวนนั้นเรารู้หมดเลยว่าเป็นใคร เป็นหน่วยไหน ชื่ออะไร แต่เอาเข้าจริง...ความยุติธรรมสำหรับประชาชนมันไม่มี!!!


คำขวัญของเราจากที่เราต้องการสังคมที่เจริญก้าวหน้า ประชาชนมีสันติสุข เรามีคำขวัญว่า นิรโทษกรรมให้คนเป็น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณี 112) และทวงความยุติธรรมให้คนตาย แต่พรรคการเมืองบางพรรค ซึ่งประชาชนต่อสู้และอุ้มชูมาตลอดท่านไม่เอาทั้งสองอย่าง นิรโทษกรรมให้คนเป็นท่านก็ไม่เอา ทวงความยุติธรรมให้คนตาย มาถึงบัดนี้ แค่ให้ทหารมาขึ้นศาลพลเรือน มัน 3 ศาลนะ ถ้าไม่ผิด! กลัวอะไร? ทำไมขึ้นศาลพลเรือนเหมือนประชาชนไม่ได้ แต่ว่ากลไกศาลทหาร มันมีกลไกอัยการทหาร มีกลไกต่าง ๆ ที่ทำให้ทหารในประเทศไทยลอยนวลพ้นผิดเมื่อฆ่าประชาชนมือเปล่ากลางถนนมายาวนาน


ดิฉันอยากจะบอกว่า น้ำท่วมครั้งนี้มันท่วมรัฐสภา และท่วมทั้งหมดจนกระทั่งดิฉันแทบจะมองไม่เห็นเลยว่า ท่วมจนเราอยู่ใต้บาดาลลึกแล้ว มันจะขึ้นมาได้ยังไง? เพราะฉะนั้นฝากไว้นะคะ แล้วอย่ามาโฆษณาตอนหาเสียงในปีหน้านะ เพราะว่าท่านโฆษณามาเมื่อปี 2565/2566 แล้ว ที่ข้อเสนอของเรา รับหมด!!!


นี่เมื่อกี้เราพูดไปแล้ว 3 ข้อ ข้อที่ 4 คือให้ยอมรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ ICC เฉพาะกรณีเหตุการณ์เมษาพฤษภา 2553 ท่านก็ไม่ทำ



เพราะฉะนั้น คำถามว่าก่อนการเลือกตั้งครั้งที่แล้วท่านโฆษณาว่าท่านรับเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งหมด แต่นี่ผ่านมากระทั่งบัดนี้ ดิฉันไม่อยากซ้ำเติมนะว่า คุณทักษิณมาแล้วต้องเผชิญอะไร คุณอุ๊งอิ๊งต้องเผชิญอะไร แคนดิเดตนายกฯ ของท่าน 2 คน ต้องเผชิญอะไร ดิฉันจะบอกให้ว่า ลำพังพรรคการเมืองกับผู้นำที่คิดว่าเก่ง เอาไม่อยู่! เอาไม่อยู่หรอกประเทศนี้ (ที่จมบาดาล) แต่” “ประชาชน” ไม่ใช่พรรคประชาชนนะ หมายถึงประชาชนทั้งหมด ถ้าประชาชนทั้งหมดเข้มแข็ง นี่ก็จะเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็ก แล้วก็จะนำประเทศขึ้นมาจากใต้บาดาลได้


ถ้าท่านจะถีบตัว (เอาตัวรอด)เฉพาะตัว เฉพาะพรรค ขึ้นมาเอง ขอโทษ! ไม่ขึ้นหรอกค่ะ ฉะนั้น ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายแล้วนะ ไม่รู้ว่าจะยุบสภาก่อนหรือเปล่า ก็คือ ให้ลงมติว่าทหารที่ทำความผิดอาญาต่อประชาชน ให้ขึ้นศาลพลเรือนเหมือนประชาชนทั่วไป กลัวอะไร? คือเขากลัวว่านายสั่งแล้วทหารจะไม่เชื่อ ถ้ากฎหมายนี้ผ่าน นายก็สั่งให้ถูกต้องซิ แต่ถ้านายสั่งให้ไปฆ่าประชาชนมือเปล่า หรือทำความผิดทางอาญาอื่น ๆ ทหารก็ต้องมีสิทธิที่จะคิดได้ว่าตัวเองจะถูกฟ้องร้องได้ แล้วนี่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องหรือที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย


ดิฉันอยากจะถามสส.ทุกคนว่า ท่านคิดว่าท่านจะรอดด้วยความกลัว หรือท่านจะรอดด้วยความกล้า ประชาชนนั้นกล้า แต่พรรคการเมืองกล้าเหมือนประชาชนหรือเปล่า? และเมื่อประชาชนกล้าเพื่อระบอบประชาธิปไตยและประชาชนสูญเสีย พรรคการเมืองก็ยังเอาตัวรอดแล้วถีบตัวหนี แล้วหนีพ้นไหมคะ? เอาตัวรอดได้หรือเปล่า? แล้วเที่ยวหน้าอยากเป็นพรรคลำดับที่เท่าไหร่? ถ้าไม่กล้าสู้พร้อมไปกับประชาชนในสิ่งที่ถูกนะ ไม่ใช่สู้ในสิ่งที่ผิด


ลาก่อนค่ะ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #น้ำท่วม68 #กลไกรัฐสภา