วิโรจน์
โพส ผิดหวัง กมธ.สัดส่วนเพื่อไทย
เสนอแก้ให้คดีทหารทุจริตและประพฤติมิชอบกลับมาขึ้นศาลทหาร เหมือนเดิม
และที่ประชุมมีเสียงส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย
วันที่
26 พฤศจิกายน 2568 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร
ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน โพสเฟซบุ๊ก ระบุถึง
[
ร่าง พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร กำหนดให้คดีทุจริต
และคดีอาญาที่ทหารกระทำกับประชาชนต้องขึ้นศาลยุติธรรม
ถูกแก้ให้กลับมาพิจารณาในศาลทหารตามเดิม ]
ในการประชุมคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง
พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2568 ที่ผ่านมา มีเรื่องที่น่าผิดหวังอย่างมาก
เพราะร่างแก้ไขเดิมได้มีการแก้ไขมาตรา 14 โดยกำหนดให้ทหารที่กระทำทุจริตและประพฤติมิชอบ
ต้องถูกพิจารณาในศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ
เฉกเช่นเดียวกันกับข้าราชการอื่นๆ
ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขและป้องกันปัญหาการทุจริตภายในกองทัพ
ทำให้กองทัพมียุทโธปกรณ์ที่มีคุณภาพ สามารถปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทหารผู้ปฏิบัติหน้าที่มีความปลอดภัย
และทำให้ภาพลักษณ์ของกองทัพในสายตาประชาชนดีขึ้น
ที่สำคัญ คือ
จะทำให้เหตุการณ์อัปยศอย่างกรณี GT200 ไม่เกิดขึ้นซ้ำ
จนทำให้กองทัพต้องเสื่อมเสียศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิจนต้องอับอายไปทั่วโลกอีก
แต่ปรากฏว่า
คุณธงทอง นิพัทธรุจิ
กรรมาธิการสัดส่วนพรรคเพื่อไทย ได้เสนอให้การทุจริตและประพฤติมิชอบ
ยังคงถูกพิจารณาในศาลทหารเช่นเดิม และที่ประชุมมีเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วย
ท่ามกลางความกังวลว่า
จะทำให้ร่าง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่ต้องพิจารณาควบคู่กัน
ไม่สามารถพิจารณาต่อไปได้
และมีความเสี่ยงสูงมากที่จะขัดกับหลักการที่รับมาในวาระที่ 1 ซึ่งในประเด็นดังกล่าวนี้
คงต้องเป็นความรับผิดชอบหลักของกรรมาธิการผู้เสนอต่อไป
ผมในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ
รู้สึกผิดหวังอย่างมาก แต่ก็จำเป็นต้องยอมรับมติเสียงข้างมากในชั้นกรรมาธิการ
และจะพยายามอย่างเต็มความสามารถในการอธิบาย
เพื่อให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรกลับมติในการพิจารณาในวาระที่ 2 และวาระที่
3
เรื่องที่ผมรู้สึกผิดหวังไม่ได้จบเพียงเท่านี้
เพราะในการแก้ไขมาตรา 14
ร่างเดิม ยังได้กำหนดให้คดีอาญาที่ทหารกระทำต่อพลเรือน
จะต้องขึ้นศาลยุติธรรม ไม่ใช่ศาลทหารอีกต่อไป
เพื่อให้ประชาชนที่ถูกกระทำจากทหารได้รับความเป็นธรรม
ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องสำคัญของญาติวีรชน 14 ตุลา 16 วีรชน 6 ตุลา 19 วีรชนพฤษภา 35
วีรชนในเหตุการณ์ความไม่สงบเมษา 52 และวีรชนในเหตุการณ์สลายการชุมนุมพฤษภา
53 ที่คนในครอบครัวต้องสูญเสียชีวิตด้วยคมอาวุธสงครามจากคำสั่งให้มีการปฏิบัติการล้อมปราบของทหาร
โดยที่พวกเขาไม่เคยได้รับความเป็นธรรมใดๆ เลย
แม้กระทั่งเหตุการณ์สังหารโหด
6 ศพ ที่วัดปทุมวนาราม เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553
ทั้ง ๆ ที่การไต่สวนของศาลอาญาเมื่อวันที่ 6 ส.ค.
2556 ระบุชัดเจนว่า “เหตุการณ์ 6 ศพ
วัดปทุมฯ” เป็นการยิงจากเจ้าหน้าที่ทหารเข้าใส่ประชาชนภายในวัด
ไม่ปรากฏร่องรอยการต่อสู้ และไม่ปรากฏว่ามีอาวุธภายในวัด
ศาลจึงวินิจฉัยว่าการเสียชีวิตของทั้ง 6 คนเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ทหาร
แต่หลังการรัฐประหารปี 2557 มีการนำสำนวนดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาอีกครั้งภายใต้
“ศาลทหาร”
และผลการไต่สวนจบลงด้วยการยกฟ้องผู้ที่ถือปืนยิงประชาชนจนมีผู้เสียชีวิตในวัด
เหตุการณ์สลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง
ที่มีการใช้กระสุนจริงถึง 117,923
นัด และกระสุนสำหรับซุ่มยิง 2,120 นัด
มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 94 ราย
แต่กลับไม่สามารถเอาผิดใครได้เลย
หรือเหตุการณ์ที่สะเทือนใจพี่น้องชาว
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กับการเสียชีวิตของนายอับดุลเลาะ อีซอมูซอ
ผู้ต้องสงสัยคดีความมั่นคงที่หมดสติระหว่างถูกควบคุมตัวในค่ายอิงคยุทธบริหาร
จ.ปัตตานี ตั้งแต่เดือน ก.ค. 62 และเสียชีวิตในอีก 35
วันต่อมา เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 62 ก็ปรากฏว่าไม่สามารถเอาผิดใครได้ นางซุไมยะห์ มิงกะ
ภรรยาของเขาต้องก้มหน้ารับชะตากรรม หาเลี้ยงชีพ และดูแลลูกภายใต้ความคับแค้น
การกำหนดให้คดีอาญาที่ทหารกระทำกับพลเรือน
ต้องขึ้นศาลยุติธรรม ไม่ใช่ศาลทหาร จะทำให้โศกนาฏกรรมแบบนี้ไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก
และจะทำให้ทหารเป็น “ทหารของประชาชน” ที่มีหน้าที่ปกป้องประชาชนจากอริราชศัตรู
ไม่ใช่ “ทหารเนรคุณ” ที่หันปลายกระบอกปืนที่สร้างจากภาษีประชาชนมาเข่นฆ่าประชาชนเป็นผักปลา
แต่ปรากฏว่า
คุณธงทอง นิพัทธรุจิ
กรรมาธิการท่านเดิม ยังคงเสนอให้ตัดประเด็นนี้ออก
โดยยืนยันให้คดีอาญาที่ทหารกระทำต่อประชาชนยังคงขึ้นศาลทหารตามเดิม
ซึ่งในประเด็นนี้ยังไม่มีการลงมติ
เนื่องจากกรรมาธิการหลายท่านประสงค์ให้คดีอาญาที่ทหารกระทำย่ำยีต่อประชาชน
ต้องขึ้นศาลยุติธรรม จึงอาสาปรับแก้ถ้อยคำให้สมบูรณ์และสอดคล้องกับมาตรา 49 ตามข้อแนะนำของกรรมาธิการ
และจะนำมาเสนอต่อกรรมาธิการใหม่ เพื่อให้ลงมติในวันอังคารที่ 2 ธ.ค. 68
ผมยืนยันว่า
การนำคดีทุจริตและประพฤติมิชอบในกองทัพ
ไปพิจารณาในศาลคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบเช่นเดียวกับข้าราชการกรมกองอื่น ๆ
รวมถึงการนำคดีอาญาที่ทหารกระทำกับประชาชนไปขึ้นศาลยุติธรรม
จะทำให้ภาพลักษณ์ของทหารดีขึ้น
การยื้อให้คดีทุจริตและคดีอาญาที่ทหารกระทำกับประชาชน
ซึ่งพิจารณาอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะเป็นภารกิจของทหารแน่ ๆ
ยังคงอยู่ในอำนาจศาลทหารต่อไป มีแต่จะทำให้ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์กองทัพในแง่ลบ
มีแต่จะบั่นทอนเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของทหาร จนป่นปี้ไม่มีชิ้นดี
ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า
ประชาชนที่เขาถูกทหารกระทำย่ำยี
เขาไม่มีสิทธิจะให้ศาลยุติธรรมเป็นผู้พิจารณาให้ความเป็นธรรมกับเขาเลยหรือ
จะต้องตีตรวนให้การพิจารณาอยู่กับศาลทหาร โดยที่เขาไม่เต็มใจไปทำไม
ผลจะออกมาเป็นเช่นไรคงต้องจับตาดูว่าการลงมติในวันอังคารที่ 2 ธ.ค. 68
นี้ครับ
อย่างไรก็ตาม
ผมต้องขอขอบพระคุณ รศ.นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์
กรรมาธิการอีกท่านหนึ่งจากพรรคเพื่อไทย
ที่กรุณาช่วยปกป้องร่างกฎหมายฉบับนี้อย่างเต็มที่
และยืนหยัดร่วมกันกับกรรมาธิการอีกหลายท่านว่า ทหารโกงต้องขึ้นศาลคดีอาญาทุจริตฯ
ทหารทำร้ายเข่นฆ่าประชาชนต้องขึ้นศาลยุติธรรม
คุณหมอเชิดชัยเป็นปูชนียบุคคลทางการเมืองที่ผมอบอุ่นทุกครั้งที่ได้ร่วมงานกับท่านครับ
ขอบคุณคุณหมอจากใจจริงครับ
